แม้ในปี 2550 ที่ผ่านมาจะยังไม่มีการรวบรวมหรือจัดทำสถิติจำนวนคนไทยที่ไม่รู้หนังสือแต่
หากย้อนกลับไปดูข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่จัดทำตั้งแต่เดือนกันยายน
ปี 2548 จะพบว่า ประเทศไทยมีผู้ที่ไม่อ่านหนังสือถึง 22.4
ล้านคนหรือเกือบ 40% ของประชากรทั้งประเทศ ด้วยเหตุผลว่าชอบดูโทรทัศน์
หรือฟังวิทยุมากกว่า ขณะที่เด็กที่มีอายุ 10-14 ปี กว่า
60% ให้เหตุผลในการไม่อ่านหนังสือว่า เพราะไม่ชอบ และไม่สนใจ
ส่งผลให้สถิติการอ่านหนังสือของคนไทยเฉลี่ยเพียงปีละ
2 เล่ม ซึ่งนับว่าต่ำมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์
ที่มีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่ม ส่วนเวียดนาม
มีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 60 เล่ม จากเหตุดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นว่า
การอ่านหนังสือของคนไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างแท้จริง
การเดินหน้าผลักดันให้การอ่านหนังสือ
จึงถูกหยิบยกให้เป็น วาระแห่งชาติ โดยมีสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศ
(ส.พ.จ.ท.) (The Publishers and Booksellers Association
of Thailand) เป็นแม่งานหลัก ซึ่งภาระหน้าที่ดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายขององค์กรต่างๆ
อย่างเต็มที่
โดยนางริสรวล อร่ามเจริญ
นายก ส.พ.จ.ท. เล่าให้ฟังว่า การผลักดันให้การอ่านหนังสือเป็นวาระแห่งชาติ
ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เด็กไทยสนใจการอ่านหนังสือ
ขณะเดียวกันก็ต้องมียุทธศาสตร์ในการสนับสนุน และแก้ไขปัญหาการไม่อ่านหนังสือของเด็กไทยให้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการพัฒนาหนังสือให้เหมาะกับความต้องการของเด็กในวัยต่างๆ
การจัดทำรูปเล่มที่น่าสนใจ หรือแม้กระทั่งการจัดทำเป็น
e-book เพื่อสร้างความแตกต่างและน่าสนใจตรงกับพฤติกรรมเด็กที่นิยมเรื่องของเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ซึ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า
หนังสือกลุ่มเด็กและเยาวชน มีการพัฒนาและจัดพิมพ์ ออกมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของมูลค่าตลาดรวมหนังสือ
และคาดว่าในอนาคตหนังสือกลุ่มเด็กและเยาวชนจะเติบโตและมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น
20-25% ขณะที่การกระจายหนังสือให้เข้าถึงมือเด็กและเยาวชน
การส่งเสริมให้หนังสือมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม การปกป้องเด็กจากสื่อที่เป็นภัย
และขจัดอุปสรรคต่อการอ่านหนังสือของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องของเกม
และสื่ออื่นๆ ที่ยากแก่การควบคุม ก็ล้วนมีความสำคัญและต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้จากข้อมูลของส.พ.จ.ท.
ยังระบุว่า ในปี 2550 หากจำแนกตามชื่อเรื่อง จะพบว่ามีหนังสือออกใหม่รวม
11,455 เรื่อง สูงกว่าปี 2549 ในสัดส่วน 31.4% ซึ่งคาดว่าในปี
2551 จำนวนหนังสือออกใหม่จะอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปี
2550 เนื่องจากสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ยังระมัดระวังเรื่องของการผลิตเป็นหลัก
โดยยอดจำหน่ายหนังสือในปี 2550 ซึ่งประมาณ 18,000 ล้านบาทนั้น
62.8% มาจากสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ รองลงมาคือ 25% มาจากสำนักพิมพ์ขนาดกลาง
ส่วนที่เหลือ 12.2% มาจากสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก ขณะที่ภาพรวมของยอดจำหน่ายหนังสือในปี
2551 คาดว่าจะมีไม่น้อยกว่า 19,800 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เด็ก
เยาวชน และผู้ที่รักการอ่านหนังสือได้มีโอกาสสัมผัส และเลือกซื้อหนังสือได้ง่ายขึ้น
คือเรื่องของจำนวนร้านหนังสือที่เปิดให้บริการ ซึ่งในปี
2550 พบว่า จำนวนร้านหนังสือที่เปิดใหม่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
โดยเติบโตถึง 100.31% การเติบโตดังกล่าวเกิดจากร้าน Book
Smile ซึ่งเป็นร้านหนังสือในเครือเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ขยายสาขาจำนวนมาก
และหากศึกษาถึงจำนวนร้านหนังสือในประเทศไทยในช่วง
5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี
2547 มีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็น 759 ร้าน จากปีก่อนที่มีอยู่
676 ร้าน ส่วนในปี 2548 มีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็น 848
ร้าน และ 955 ร้านในปี 2549 ส่วนในปี 2550 พบว่ามีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็น
1,913 ร้านเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี จำนวนร้านหนังสือที่มีอยู่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร
จะพบว่า ร้านหนังสือ 1 ร้านรองรับประชากรเฉลี่ย 32,952
คน ซึ่งเป็นปริมาณตัวเลขที่สูงมาก
นอกจากร้านหนังสือที่เป็นช่องทางการสร้างโอกาสให้คนไทยได้เลือกหาหนังสือที่ตรงกับความสนใจแล้ว
การจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่มีประจำทุกปีถือเป็นช่องทางหลักที่คนไทยผู้ชื่นชอบหนังสือรอคอยที่จะได้มีโอกาสเข้าชม
สัมผัส และเลือกซื้อหนังสือที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นการซื้อเพื่ออ่าน
และสะสม ซึ่งในปีนี้ก็เช่นกันงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
ครั้งที่ 36 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 6
ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม 7 เมษายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์นั้น
นอกจากจะมีการแสดง จำหน่ายหนังสือและสื่อการศึกษา อบรมสัมมนาเชิงวิชาการ
การเปิดตัวหนังสือจากนักเขียนชั้นแนวหน้าและสมัครเล่นแล้ว
ยังมีหนังสือให้เลือกหลากหลายทั้งหนังสือทั่วไป หนังสือเด็ก
หนังสือแบบเรียน หนังสือเก่า และหนังสือจากต่างประเทศ
รวมกว่า 870 บูธ จากสำนักพิมพ์กว่า 400 แห่ง
การเดินหน้าผลักดันให้คนไทยรักการอ่านหนังสือ
คงต้องมีแนวคิดและกลวิธีที่มากกว่าการเชิญชวน และหากได้รับการสนับสนุน
และผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกฝ่ายต้องรวมพลังอย่างเต็มที่
เชื่อว่าวิกฤติการอ่านที่กำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้คงไม่สายเกินแก้
|