เจมส์ คาน แสดงเป็นนักเขียนคนนั้น เขาคือ พอล
เชลดอน นักเขียนนิยายผู้หวังจะทำงานคุณภาพ แต่กลับมีชื่อเสียงขึ้นเพราะการเขียนนิยายโรมานซ์
(หรือที่เรียกว่า 'นิยายน้ำเน่า') เกี่ยวกับสาวน้อยแสนอาภัพในศตวรรษที่
19 ผู้มีนามว่า มิสเซอรี่ แชสเทน มิสเซอรี่ กลายเป็นหนังสือขายดี
กลายเป็นนิยายชุดยาวเหยียดซึ่งพอลต้องอดทนเขียนติดต่อกันมาอีกนานหลายปี
พอลตัดสินใจผูกเรื่องให้มิสเซอรี่ตายลง และลงมือเขียนนิยายซีเรียสที่เขาตั้งใจจนสำเร็จ
แจาขณะที่ขับรถนำต้นฉบับไปส่งนั้น เขาเจอกับพายุหิมะและหักรถปักลงเหวไปเสียก่อน
คนที่มาช่วยชีวิตของเขาไว้ได้เป็นนางพยาบาลสาวร่างใหญ่ชื่อ แอนนี่
ซึ่งประกาศแก่เขาในภายหลังว่า เธอเป็นแฟนอันดับหนึ่งของมิสเซอรี่มาตลอด
พอลบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุ แอนนี่จึงพาเขาเข้าไปรักษาตัวในบ้านของเธอที่ตั้งอยู่กลางป่าเปลี่ยว
ระหว่างที่พอลกำลังพักฟื้นนั่นเอง
แอนนี่รู้แล้วว่านางเอกมิสเซอรี่ถึงแก่ความตายแล้วในนิยายเล่มล่าสุด
ความรักก็กลายเป็นความแค้นอย่างฉับพลัน แอนนี่เห็นพอลเป็นฆาตกร
และออกคำสั่งให้นำมิสเซอรี่กลับมาให้ได้
หลังจากที่ถูกขู่เข็ญบังคับและทำทารุณกรรมด้วยวิธีการต่างๆ
รวมทั้งเผาต้นฉบับหนังสือใหม่ของเขาด้่วย พอลก็ยอมลงมือเขียนให้มิสเซอรี่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในนิยายเล่มใหม่
เพื่อถ่วงเวลาให้เขาหายดีและหาทางหนีออกไปจากที่นั่นให้ได้ ซึ่งในท้ายที่สุดเขาก็ต้องทำการฆาตกรรมเข้าจริงๆ
กว่าจะหนีรอดออกมาได้
ในนิยายนั้น สตีเฟ่น คิง คงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างเพศอย่างชัดเจนเท่าในหนัง
ความเกลียดและกลัวผู้หญิงมีอยู่ในนิยาย แต่ตามท้องเรื่องแล้ว แอนนี่ไม่ได้มีความเกลียดชังพอลเป็นการเฉพาะ
เธอเพียงแต่ยอมรับการตายของลูกผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ และความผิดของพอลนั้นก็คือได้ไปฆ่าผู้หญิงคนนั้น
สิ่งที่นิยายเน้นมากกว่าคือปัญหาของนักเขียนหรือนักเล่าเรื่อง
ซึ่งเป็นทั้งโครงเรื่องและหัวข้อที่นักเขียนนิยายอย่างคิงย่อมสนใจมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ในนิยายนั้น สิ่งที่พอลต่อสู้อยู่คือความไม่มั่นใจและความลังเลของตนเอง
ถูกรวมไว้ในตัวของแอนนี่ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นคนที่ปลุกความคิดสร้างสรรค์ของเขาขึ้นมาใหม่
ทั้งในหนังสือและหนัง ก่อนที่การข่มขู่พิฆาตกันจะเริ่มขึ้น
แอนนี่ก็เป็นแรงบันดาลใจของพอลจริงๆ เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่นักเขียน
(โดยเฉพาะฝ่ายชาย) มักจอมอบคำอุทิศให้ หรือไม่ก็เขียนขอบอกขอบใจที่พิมพ์ต้นฉบับให้
แต่ในหนังสือนั้นเธอจะมีด้านที่ไม่ได้ส่อความน่ากลัวและการคุกคามเท่าในหนัง
ดังนั้น แม้ในช่วงสุดท้ายของหนัง พอลจะพูดขึ้นหลังจากหนีรอดเงื้อมมือแอนนี่มาได้ว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นช่วยเขาไว้ ก็อาจจะตีความไปในทางลบได้อีกก็ได้ว่า
'เรื่องที่เกิดขึ้น' คือการได้มีโอกาสฆ่าเธอ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบทบาทการแสดงของ
เจมส์ คาน ซึ่งพกเอาบุคลิกห้าวหาญมาจากหนังหลายเรื่องก็ได้
แต่ส่วนที่สำคัญกว่าที่ทำให้หนังต่างไปจากหนังสือ
ก็คือ บทหนัง วิลเลียม โกลด์แมน ผู้เขียนบท ทำให้หนังกลายเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างชายกับหญิงมากขึ้นก็ตรงที่เปลี่ยนบุคลิกของพอลให้ดูเป็นที่มีความหวังในชีวิตมากขึ้น
ในหนัง พอลเลิกเหล้าได้แล้ว เลิกบุหรี่ได้แล้ว และนิยายคุณภาพ
(ที่ไม่ใช่มิสเซอรี่) ก็ดูจะเป็นนิยายที่ดี เขาไม่ได้เป็นคนที่กำลังตกต่ำทั้งในทางชีวิตส่วนตัวและการงานเหมือนอย่างในหนังสือเลย
ความรู้สึกที่เขามีต่อแอนนี่จึงไม่คลุมเครือเท่าในหนังสือ
ยิ่งกว่านั้น โลกของพอลในหนังยังแวดล้อมไปด้วยผู้หญิง
เอเย่นต์หรือนายหน้าขายต้นฉบับของเขาซึ่งในนิยายเป็นผู้ชาย ถูกเปลี่ยนเป็นบทของ
ลอเรน เบคอล ผู้หญิงคนนี้จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้พอลเลิกเขียนมิสเซอรี่
และยังพูดเตือนความจำถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเริ่มเขียนเรื่องนี้เมื่อครั้งกระโน้นว่า
เพื่อหาเงินค่าเลี้ยงดูให้แก่เมียเก่าซึ่งหย่ากันไป รวมทั้งหาเงินมาจ่ายค่าหมอฟันให้ลูกสาวด้วย
พอลจึงกลายเป็นผู้ชายที่ถูกผู้หญิงทรยศ
ไม่ใช่เพราะตนเองขาดความหนักแน่น แต่เป็นเพราะความต้องการอันไม่จบสิ้นของผู้หญิง
นายหนัา เมีย ลูกสาว และก็น่าจะรวมทั้งมิสเซอรี่ สาวน้อยแสนอาภัพผู้ฉุดคร่าเอาเวลาและความสามารถของเขาไป
และตัวแฟนๆ นักอ่านนับล้านๆ ซึ่งก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น
 |
แอนนี่กลายเป็นที่รวมของความรู้สึกถูกทรยศหักหลัง
โดยเฉพาะ
เมื่อเธอกลายสภาพจากนางฟ้าผู้ช่วยชีวิตไปเป็นปีศาจร้ายในสาย
ตาของพอล
ดูเหมือนว่าผู้กำกับ
ร็อบ ไรเนอร์ จะไม่ยอมปล่อยให่เราคิดว่า
แอนนี่จะเป็นอะไรอื่นไปได้นอกเสียจากผู้หญิงที่อ้วน เชยและบ้า
ที่ร้ายกว่านั้น ทั้งฝีมือของเขาและฝีมือการแสดงของ เคธี่
เบทส์
ในบทแอนนี่ ก็ยังช่วยตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า ถ้าขาดความเป็นผู้หญิงแล้วเธอก็ดูจะขาดความเป็นคนไปเลย
นี่อาจจะเป็นความพยายามอันยิ่งยวดที่ให้ความชอบธรรมแก่
พฤติกรรมที่พอลจะทำกับแอนนี่ในตอนท้าย ไม่ว่าจะเป็นการ
ทุบหัวด้วยเครื่องพิมพืดีด การพยายามจะควักลูกนัยน์ตา
การพยายามยัดต้นฉบับมิสเซอรี่ตอนใหม่เข้าปากเธอ และที่สุดก็คือทุบเสียด้วยหมูหินตัวโปรดของเธอเอง
|
นอกจากที่ วิลเลี่ยม โกลด์แมน
พยายามบอกว่าทั้งความรู้สึกทางเพศและความรุนแรงของแอนนี่เป็นเรื่องคุกคามผู้ชายพอๆ
กันแล้ว เขายังเพิ่มเติมส่วนที่ทำให้เธอมีความทะเยอทะยานอื่นแฝงอยู่ด้วย
นั่นคือในตอนที่นายอำเภอเข้ามาสอบถามเรื่องที่เธอไปซื้อกระดาษพิมพ์ดีดมา
แอนนี่โกหกว่าเธอกำลังพยายามเขียนนิยายเลียนแบบพอล (ซึ่งเข้าใจว่าหายสาบสูญไป)
นั่นเป็นเพียงคำโกหกหรือเป็นการบอกว่าแอนนี่มีแผนจะขโมยชื่อเสียงของพอล?
นี่เป็นมิติของความขัดแย้งที่หนังเพิ่มเติมเข้าไป และเป็นมิติที่อาจทำให้แอนนี่เปลี่ยนจากแฟนที่บ้าคลั่งเป็นคู่แข่งไปได้
ในตอนจบ พอลได้รับคำเยินยอมากมายจากนักวิจารณ์สำหรับหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ชื่อ
The Higher Education of J.Phillip Stone แน่นอน ตัวพอลนั่นเองที่เป็นผู้ได้รับบทเรียน
โดยเฉพาะในเรื่องการต่อสู้ปกปักรักษาความเป็นชาย แต่ในตอนจบนี้หนังก็บอกไว้เช่นกันว่าแอนนี่ก็คือผู้หญิงทุกคน
และในขณะที่นิยายเพียงแต่แปลงเธอให้กลายเป็นวัตถุดิบหรือผลงานของผู้ชาย
หนังได้ทำให้เธอกลายเป็นสิ่งที่จะหลอกหลอนพอลอยู่ตลอดไป |