เป็นเวลาร่วมสองทศวรรษมาแล้วที่กลุ่มคนซึ่งเรียกว่า
"ชนชั้นกลาง" (อันประกอบด้วยนักธุรกิจ พ่อค้า แพทย์
วิศวกร นักสื่อสารมวลชน นักวิชากร ฯลฯ) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นนำในสังคมไทย
ด้วยอาศัยผลพวงจากการ
ต่อสู้่ของขบวนการนักศึกษาในครึ่งหลังของทศวรรษ 2510
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง วรรณกรรมแนวสัจนิยมหรือเหมือนจริงก็กลายมาเป็นที่ยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย
โดยสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย ดังเห็นได้จากรายชื่อนวนิยายและเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลระดับชาติและที่
ได้รับคัดเลือกเป็นหนังสืออ่านในโรงเรียนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
ตั้งแต่ทศวรรษ 2520
เป็นต้นมา จนอาจกล่าวได้ว่าบัดนี้วรรณกรรมในแนวดังกล่าวได้ก้าวขึ้นมาเป็นกระแสหลัก
หลังจากที่ยืนหยัด
ต่อสู้กับอำนาจกดขี่อยู่บนเวทีประวัติศาสตร์มาช้านาน
แนวสัจนิยม (realism) เสนอให้วรรณกรรมทำหน้าที่เป็นกระจกส่องสะท้อนภาพความเป็นไปของมนุษย์และ
สังคมอย่างเที่ยงตรงตวามความเป็นจริง ไม่ปรุงแต่งสีสันให้สวยงามเพื่อกระตุ้นอารมณ์เพ้อฝัน
ยิ่งในกรณีวรรณกรรมสัจนิยมในสายที่จำเพาะเจาะจงลงไปอีกว่าเป็น
"วรรณกรรมเพื่อชีวิต" แล้ว เราก็ยิ่งตระหนักชัดในกุศลเจตนาว่าต้องการตีแผ่ให้เห็นความเลวร้ายในสังคมเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกที่ดีแก่ผู้อ่าน
โดยหวังว่าวรรณกรรมจะสามารถเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงสังคม หรืออย่างน้อยก็ช่วยแก้ไขปัญหาสารพันที่รุมเร้ายุคสมัยของเรานี้ได้บ้าง
ความบันเทิงแบบ "มีเนื้อหาสาระ"
ที่ต้องอิงพื้นฐานอยู่กับการ "สะท้อนความเป็นจริง" และให้ผลพลอยได้ในรูป
"จิตสำนึกทางสังคม" นับว่าสอดรับกับค่านิยมในการแสดงออกทางวัฒนธรรมของชนชั้นกลาง
ซึ่งชอบอวดอ้างคติในเรื่องหลักการ เหตุผล อรรถประโยชน์ และความก้าวหน้า
จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดที่ชนชั้นนำใหม่ของไทย โดยเฉพาะในซีกที่เรียกกันว่าปัญญาชน
จะอ้าแขนต้อนรับวรรณกรรมสะท้อนสังคมอย่างเต็มอกเต็มใจ ยกย่องให้เป็น
"วรรณกรรมสร้างสรรค์" และทยอยมอบรางวัลให้แก่บรรดานักเขียนในแนวเพื่อชีวิต
(ที่ได้เคยหลงผิดคิดร้ายต่อนายทุน และที่นายทุนก็ได้เคยหลงผิดคิดปราบปราม)
หากเหลียวมามองวงการการศึกษาและวิจารณ์วรรณกรรม ก็จะเห็นการตอบสนองที่ดียิ่งไม่แพ้กัน
นักวิจารณ์ต่างหันไปให้ความสำคัญกับเนื้อหา แก่นเรื่อง แนวความคิด
ปัญหาสังคมที่สะท้อนออกมา และแม้แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในตัวงาน
ราวกับจะหลงลืมไปว่า ข้อเขียนที่วิจารณ์หรือวิเคราะห์อยู่นั้นเป็นงานวรรณกรรมหรือเรื่องแต่ง
ก็ในเมื่อมีผู้เขียน พิมพ์ อ่าน
ตัดสินและศึกษาวิจารณ์วรรณกรรมสัจนิยมกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันถึงเพียงนี้
เหตุไฉน
เล่าปัญหาครอบครัว การเอารัดเอาเปรียบ ปัญหาโสเภณี ปัญหาศาสนา
วัตถุนิยม นาเสพติด ชนบทถูกทอดทิ้ง สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ฯลฯ
ที่่ส่องสะท้อนอยู่ในหน้าหนังสือเหล่านี้มานานถึง 20 ปี จึงยังคงมีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาดในสังคมไทย
เสมือนเป็นพยานยืนยันว่า ธารน้ำหมึกที่หลั่งไหลออกมาจากจิตสำนึกสู่จิตสำนึกอย่างไม่ขาดสายนั้น
มิอาจช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้เลย
คำตอบที่ตรงประเด็นที่สุดต่อคำถามนี้
คือ วรรณกรรมสะท้อนสังคมไม่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมหรือแก้ปัญหาใดๆ
ได้ ก้เพราะมันเป็นวรรณกรรม และขึ้นชื่อว่าวรรณกรรมแล้ว ธรรมชาติของมันย่อมประกอบสร้างขึ้นด้วย
"สัญนิยม" ต่างๆ นานาทั้งสิ้น
สัญนิยม (Convention) หมายถึงกติกาข้อตกลงที่ผู้เขียนและผู้อ่านยอมรับร่วมกันโดยนัยอันที่จะสื่อและรับรู้ความหมายในงานวรรณกรรมเพื่อให้การ
"สื่อสาร" ทางวรรณกรรมนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ยกตัวอย่างเช่น
กติกาข้อตกลงข้อหนึ่งในนิยายจักรๆ วงศ์ๆ คือ ทุกคนยอมรับว่าตัวละครเอกสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
หรือในนวนิยายเพื่อชีวิต มีข้อตกลงโดยนัยว่า บรรดาตึกสูงเสียดฟ้าบนถนนในกรุงเทพฯ
มิได้หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองอันน่าชื่นชม แต่เป็นตัวแทนของความคลั่งไคล้ในวัตถุ
ความแล้งน้ำใจต่อกัน ฯลฯ หากผู้อ่านไม่ยอมรับในสัญนิยมเหล่านี้เสียก่อน
ก็จะมีปัญหาในการอ่านวรรณกรรมนั้นๆ สัญนิยมเป็นกรอบควบคุมการทำงานของวรรณกรรมในทุกๆ
ระดับของการสื่อความหมาย ตั้งแต่การกำหนดทัศนคติในการอ่านโดยรวม
ไปจนถึงการเข้าใจรายละเอียดในทุกซอกทุกมุม
หากลองพิจารณาสัญนิยมที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติอันจะพึงมีในการอ่านงานวรรณกรรมโดยทั่วไป
ก็จะเห็นได้ใน
ทันทีว่า ธรรมชาติความเป็นวรรณกรรมนั้นเป็นอุปสรรคบั่นทอนการถ่ายสะท้อนความเป็นจริง
และขัดขวางการเกิด
จิตสำนึกทางสังคมที่จริงจังอย่างไร กล่าวคือในการเขียน/อ่านวรรณกรรมนั้น
ผู้เขียน/ผู้อ่านมีกติกาข้อตกลงกันตั้งแต่ต้นแล้วว่า ข้อเขียนนั้นๆ
มิได้แสดงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่จริงในโลก แต่เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นจากจินตนาการ
ซึ่งทำให้วรรณกรรมไม่อาจหลีกพ้นไปจากฐานะ "เรื่องอ่านเล่น"
ไปได้ ต่างไปจากข้อเขียนประเภทข่าวสาร สารคดี หรืองานวิชาการ ซึ่งมีกติกาข้อตกลงในการรับรู้เรื่องราวอีกแบบหนึ่ง
ผลสืบเนื่องต่อมาก็คือ ในเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงจากภายนอกมากำหนดความเป็นไปได้ในตัวบทวรรณกรรม
อิสระจึงตกแก่การใช้ภาษาอย่างเต็มที่ นักประพันธ์ส่วนใหญ่ทราบดีว่า
อาศัยเงื่อนไขจากการปลอดข้อบังคับแห่งโลกของความเป็นจริงนี้เอง
พวกเขาจึงสามารถเลือกใช้ถ่อยคำได้อย่างรุ่มรวยหลากหลายกว่าในข้อเขียนประเภทอื่น
สามารถแสดงจริตทางภาษาออกมาได้อย่างเต็มที่ และระดมเอาคุณสมบัติข้องถ้อยคำมาใช้เพื่อส่อนัย
สร้างรสชาติ ปลุกเร้า โน้มน้าวใจ ไปตามเงื่อนไขที่สร้างขึ้นในโลกสมมุติ
ซึ่งเป็นคนละสิ่งกับตรรกะในโลกของความเป็นจริง
ภาพประกอบจาก praraam's
blog
|
ครั้นเมื่อลงไปในระดับที่ต้องแยกแยะวรรรกรรมออกเป็น
"แนว" (genre) ต่างๆ เราก็จะพบอีกว่าแต่ละแนววรรณกรรมล้วนมีสัญนิยมอันเป็นข้อกำหนดตรรกะภายใน
วิธีการเดินเรื่อง การนำเสนอตัวละคร ฯลฯ ตามแบบฉบับเฉพาะของแนวนั้นๆ
ทั้งสิ้น เช่น ในนวนิยายแนวรักพาฝัน ชีวิตมักจะเป็นในแบบอุดมคติที่สวยสดงดงาม
(แม้จะมีอุปสรรคมาคอยทดสอบบ้าง) ในนวนิยายแนวผจญภัย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตื่นเต้น
เร้าใจ เกิดเหตุการณ์ผันผวนมากมายในช่วงเวลาอันสั้น หรือในนวนิยายแนวสัจนิยม
ชีวิตจะถูกกำหนดด้วยปัจจัยทางสัคม เศรษฐกิจ การเมือง และชีวิตไม่ใช่สิ่งโสภาแต่เต็มไปด้วยการต่อสู้ดิ้นรน
ผู้อ่อนแอ ด้อยโอกาสต้องพ่ายแพ้ต่อผู้มีอำนาจเหนือกว่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ผู้อ่านส่วนใหญ่ย่อมรู้และยอมรับอยู่แล้วเป็นอย่างดี
มิใช่เพิ่งมาค้นพบเอาจากการอ่าน สิ่งที่ผู้อ่านส่วนใหญ่ได้รับจากการอ่านนวนิยายสะท้อนสังคมเป็นเพียงความพึงพอใจที่ได้รับรู้ซ้ำถึงปัญหาสังคมที่คุ้นเคยมาแล้วจากวาทกรรมอื่นๆ
แต่ในวรรณกรรมมักถูกนำเสนอได้ "สนุก" กว่าในงานวิชาการที่เอาจริงเอาจังกับปัญหาเหล่านี้
จริงอยู่ ผู้อ่านอาจะเกิดอารมณ์โกรธแค้นขึ้นชั่ววูบเมื่อเห็นตัวละครตกเป็นเหยื่อสังคมอันโหดร้าย
แต่ไม่นานอารมณ์นั้นก็ดับมอดไป ไม่ทิ้งร่องรอยของจิตสำนึกอันถาวรใดๆ
ไว้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาลงไปถึงการสื่อความหมายในภาพรายละเอียดต่างๆ
ที่นำเสนอ เช่น ลักษณะทางกายภาพของตัวละคร วิธีคิด พฤติกรรม สภาพแวดล้อมทางวัตถุ
ฯลฯ จะเห็นได้ว่าภาพลวงตาที่เกิดขึ้นในการอ่านเสมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง
ก็ล้วนเกิดจากการใช้คติความเชื่อ ค่านิยมที่ผู้อ่านมีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
เป็นทุนเดิมอยู่แล้วมาเป็นตัวค้ำจุนอีกเช่นกัน (ดังที่เรียกว่า
สัญนิยมทางวัฒนธรรม) ทำไมนักประพันธ์จึงนิยมวาดให้ตัวละครที่เป็นศิลปินในนิยายเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงผิดจากคนทั่วไป
ก็เพราะมันตรงกับความเชื่อที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม และเราได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับศิลปินมานับร้อยนับพันครั้ง
โดยอาจไม่เคยรู้จักศิลปินเลยแม้แต่คนเดียว ทำไมชนบทในนวนิยายจึงต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอ
ก็เพราะมันตอบสนองต่อมายาคติของผู้อ่านชนชั้นกลางในเมืองที่เบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อมอันจำเจของตน
จึงเห็นได้ว่า โดยตรรกะแล้ว วรรณกรรมสัจนิยมย่อมไม่อาจสร้างจิตสำนึกของการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาใดๆ
ได้ เพราะที่แท้แล้วมันอิงอยู่กับสัญนิยม ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับค่านิยมที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้นมานั่นเอง
เราไม่ปฏิเสธเจตนาดีของนักประพันธ์วรรณกรรมสะท้อนสังคมที่ปรารถนาจะมีส่วนช่วยทำให้สังคมที่เราอยู่นี้ดีขึ้น
แต่เราก็จำเป็นต้องตระหนักเช่นกันว่าเจตนานั้นฝืนธรรมชาติความเป็นจริงของวรรณกรรม
ทำให้ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ ดังที่กาลเวลากว่า 20 ปีได้พิสูจน์แล้ว
การยึดมั่นอยู่กับ "ความหลงผิดคิดว่าวรรณกรรมสะท้อนความเป็นจริง"
(referential fallacy) นี้รังแต่จะฉุดรั้งวรรณกรรมให้ตกอยู่ในสภาวะ
"ย่ำอยู่กับที่" ดังที่เริ่มมีเสียงบ่นๆ กันอยู่ มิหนำซ้ำยังส่งผลต่อการศึกษาและวิจารณ์วรรณกรรม
ทำให้ละเลยที่จะทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของตัวงานและหันไปให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอกแทน
ซึ่งก็ทำให้วงการต้อง "ย่ำอยู่กับที่" อีกเช่นกัน
ในเมื่อสารัตถะของวรรณกรรมนั้นคือสัญนิยม มิใช่การถ่ายสะท้อนความเป็นจริงซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตา
การที่จะก้าวออกไปจากสภาวะหยุดนิ่ง เพื่อที่จะให้วรรณกรรมพอที่จะมีผลงานสรางสรรค์ต่อสังคมได้บ้าง
จึงน่าจะเป็นการ "เล่น" กับสัญนิยมนั่นเอง อาจจะด้วยการกดดันบิดผันดัดแปลงสัญนิยมเก่าๆ
มาจัดเงาให้วาววับ หรืออาจจะแหวกจุดอับออกไปด้วยการแสวงหาสัญนิยมใหม่ๆ
มาทดลองใช้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเขย่าสั่นคลอนคติค่านิยมอันเป็นสิ่งค้ำจุนสัญนิยมต่าง
ๆ ในวรรณกรรมอีกทีหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนและผู้อ่านต่างต้องรู้เท่าทันธรรมชาติของวรรณกรรม
ดังที่ อิตาโล กัลวิโน (Italo Calvino) นักประพันธ์และนักวิจารณ์ร่วมสมัยนามอุโฆษเคยกล่าวไว้ว่า
"...แต่ก่อนนี้
เราเคยมองว่าวรรณกรรมเป็นกระจกสะท้อนโลกหรือเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกจากภายใน
มาบัดนี้เราปฏิเสธอีกต่อไปไม่ได้แล้วว่า วรรณกรรมทั้งหลายสร้างขึ้นด้วยถ้อยคำและกลวิธี
และเราจะแสร้งลืมอีกต่อไปไม่ได้เช่นกันว่า วรรณกรรมสื่ออะไรหลายอย่างที่ผู้เขียนก็ไม่รู้ตัว
และยังสื่อต่างไปจากเจตนาของเขา ความตระหนักในสิ่งเหล่านี้เป็นคุณมิใช่แก่เฉพาะวรรณกรรม
แต่ยังใช้ได้กับการเมืองอีกด้วย เพราะว่าการเมืองและวรรณกรรมต่างก็ประกอบสร้างด้วยถ้อยคำและมายา
ก่อนอื่นใด ทั้งการเมืองและวรรณกรรมจึงต้องรู้จักตนเอง และอย่าไว้ใจตนเองเป็นอันขาด"
(แปลจาก La Machine Litterature - เครื่องจักรวรรณกรรม ค.ศ. 1984)
|