กรีก-โรมัน ช่วงเวลาอันรุ่งเรืองของห้องสมุด
พวกกรีกก็นับว่ามีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหอสมุดอยู่บ้าง
เพซิสตราตัส (Pisistratus) ผู้ครองนครเอเธนส์ได้สร้างหอสมุดประชาชนขึ้นในเอเธนส์
บริหารงานโดยรัฐสภาเอเธนส์ แต่ปรากฏว่าคนกรีกไม่ค่อยเข้าไปใช้
เพราะส่วนใหญ่ยังอ่านหนังสือไม่ออก จนมาถึงยุคของ อริสโตเติล
(Aristotle) เขาได้สร้างหอสมุดขึ้นมาในวิทยาลัยไลเซียม
(Lyceum) ของเขา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็ฯแม่แบบของการสร้างห้องสมุดมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
เอกสารมากมายได้ถุกส่งต่อไปยังหอสมุดอเล็กซานเดรียในเวลาต่อมา
และท้ายที่สุดเมื่อพวกโรมันบุกเข้าครองอียิปต์ เอกสารเหล่านี้ก็ถูกขนย้ายไปเป็นสมบัติส่วนตัวของนายพล
ลูเซียส คอร์เนเลียส ซูลล่า ในกรุงโรม
 |
 |
อรัสโตเติล |
สถานที่ตั้งของ
Lyceum ในปัจจุบัน |
ในช่วงปลายของความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอียิปต์
จักรวรรดิโรมันกำลังเรืองอำนาจอย่างสุดขีด พวกโรมันขยายความยิ่งใหญ่โดยใช้สงครามเครื่องมือ
จนจักรวรรดิโรมันยิ่งใหญ่ครองยุโรปเกือบทั้งหมด แม้ว่าจะรบพุ่งเก่งแค่ไหน
ชาวโรมก็ยังสนใจใฝ่ศึกษากะเขาเหมือนกัน วัฒนธรรมบางอย่างนั้นรับเอามาจากพวกกรีกหรือพวกอียิปต์
โดยเฉพาะตำราความรู้ต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกรีกแบบเต็มๆ
จูเลียต ซีซาร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งเผาอเล็กซานเดรียนับเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์พอตัว
เขามองออกว่าการติดอาวุธทางปัญญาให้ชาวโรมนั้นสำคัญพอๆ กับการเป็นนักรบ
ซีซาร์เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนสร้างหอสมุดประชาชนขึ้น ปรกติในโรมก็มีห้องสมุดจำนวนไม่น้อย
แต่ส่วนมากเป็นห้องสมุดส่วนตัวของพวกคหบดีหรือพวกขุนนางที่พอจะมีทรัพย์เหลือเฟือ
แต่ซีซาร์ไม่ทันได้อยู่ดูหอสมุดในฝันของเขา หอสมุดแห่งนี้ชื่อว่า
หอสมุดอ๊อคเตเวียน (Octavian Library) สร้างเสร็จหลังการเสียชีวิตของซีซาร์
๗ ปี (๓๗ ปีก่อนคริสตกาล) จากนั้นก็มีการสร้างหอสมุดเพิ่มขึ้นอีกมากมายถึง
๒๘ แห่ง ที่โด่งดังที่สุดคือ หอสมุดอัลเพียน
(Ulpian Library) สร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิทราจัน (Emperor
Trajan) มีการสร้างอาคารสำหรับเก็บเอกสารกรีกและละตินออกจากกัน
ที่เห็นเด่นชัดที่สุดอีกแห่งหนึ่งคือ
หอสมุดเฮเดรียน (The Library of Hadrian) สร้างโดยจักรพรรดิเฮเดรียน
ในปีคริสตศักราชที่ ๑๒๕ ทุกวันนี้ยังคงเหลือซากอาคารให้ได้ชมที่กรุงเอเธนส์
ประเทศกรีซ
|
บริเวณหอสมุดเฮเดรียนในปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดี |
ความรุ่งเรืองของหอสมุดเสื่อมถอยลงตามความเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน
เอกสารถูกทำลายไปบางส่วน เอกสารส่วนหนึ่งตกไปอยู่กับขุนนางที่ชื่อ
ลูเซียส คัลเปอร์นิอัส ปิโซ (Lucius Calpurnius
Piso) เขาอาศัยอยู่ที่เมืองเฮอร์คัลเลเนียม (Herculaneum) เชิงเขาวิซูเวียส
ใกล้กับนครปอมเปอี จนกระทั่งเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ของวิซูเวียส
ปอมเปอีทั้งเมืองรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงถูกกลบจมหายอยู่ใต้คลื่นลาวา
นักโบราณคดีจึงได้ขุดค้นพบหอสมุดของเขาพร้อมกับเอกสารเป็นม้วนปาริรัสมากถึง
๑,๘๐๐ ม้วนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ปัจจุบันม้วนปาปิรัสเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
กรุงเนเปิ้ลส์ ประเทศอิตาลี
ระหว่างช่วงปี ๑๙๔๐ ถึง ๑๙๕๐
มีการค้นพบทางโบราณคดีที่นับว่าสำคัญมากๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณใกล้กับทะเลสาบเดดซี
(Dead Sea) ประเทศอัฟกานิสถาน มีการค้นพบม้วนหนังสัตว์และม้วนปาปิรัสจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะดินเผาลักษณะคล้ายไหหรือตุ่มขนาดย่อมๆ
บันทึกพระคัมภีร์ของพวกยูดายหรือพวกยิว และค้นพบว่าบางม้วนเป็นพระคัมภีร์เก่าหรือพันธะสัญญาเดิม
(Old Testament) นับอายุได้ราว ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล จนอาจกล่าวได้ว่านั่นอาจจะเป็นไบเบิลฉบับที่เก่าแก่ที่สุดฉบับหนึ่งที่มีการค้นพบ
ม้วนเอกสารที่ว่านี้มีทั้งหมดถึง ๑๑ ถ้ำ เอกสารเหล่านี้รู้จักกันในนาม
Dead Sea Scrolls บางส่วนถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เยรูซาเล็ม
พิพิธภัณฑ์ร็อกกี้เฟลเลอร์ และพิพิธภัณฑ์อัมมัน ประเทศจอร์แดน
ด้วยความที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในถ้ำกลางทะเลทราย
อากาศที่แห้งขนาดนั้นทำให้ช่วยเก็บรักษาสภาพของเอกสารไว้ให้ชนรุ่นหลัง
แต่คำถามก็คือเหตุใดและใครกันแน่ที่นำเอกสารเหล่านี้มาเก็บไว้ในถ้ำลี้ลับแห่งนี้
?
เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมอำนาจลง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่โรมันสร้างขึ้นหรือดำเนินกิจกรรมอยู่ก็เริ่มเสื่อมถอยตาม
รวมถึงกิจการห้องสมุดด้วย นักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นอย่าง อัมเมียนาส
มาเซลลินัส (Ammianus Marcellinus) เคยเอ่ยประโยคสำคัญไว้ว่า
ห้องสมุดกำลังถูกปิดไปตลอดกาล ไม่ต่างอะไรจากหลุมศพ (The Libraries
are closing forever, like tombs)
ในยุคกลาง (Middle ages) กิจการห้องสมุดไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดการของราชสำนักหรือของรัฐเหมือนเดิม
แต่ถูกเปลี่ยนมือมาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของศาสนจักร วัดหรือศาสนสถานกลายเป็นผู้รวบรวม
บันทึก คัดลอก เอกสารสำคัญต่างๆ มาเก็บไว้ โดยเฉพาะคำสอนทางศาสนาหรือไบเบิลไว้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมวรรณกรรมสำคัญๆ ของกรีก อียิปต์และโรมันไว้ด้วย
ด้วยความที่ต้องใช้วิธีการเขียนด้วยมือในการบันทึกหรือคัดลอกเอกสาร
คัมภีร์ต่างๆ ในสมัยนั้นจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก และยิ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาหรือไบเบิล
นั่นยิ่งถือว่าเป็นของที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ จึงถูกเก็บรักษาไว้อย่างแน่นหนาภายในห้องสมุดของวัดหรือของศาสนสถาน
ค.ศ. ๕๒๗ มีการสร้างวัดของชาวคริสต์ที่ซีนาย
(Sinai) คือบริเวณประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน ชื่อว่า St.
Catherines Monastery ซึ่งถือว่าเป็นวัด (คริสต์) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
และแน่นอนว่ามีห้องสมุดที่เก็บรักษาพระคัมภีร์และวรรณกรรมสำคัญๆ
มากกว่า ๓,๕๐๐ ชุด บันทึกเป็นภาษาโบราณทั้งสิ้น อาทิ กรีก คอปติค
อราบิค อาร์มาเนียน ฮิบรู ซลาวิค เป็นต้น ปัจจุบันวัดแห่งนี้ก็ยังมีอยู่
|