แนะนำหนังสือเล่มโปรด

เฉลิมพันธุ์ ตาทิพย์

บรรณารักษ์ห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข

  หนังสือเล่มโปรด  "Silver Lining Playbook"

          หนังสือ เป็นสิ่งพิมพ์ที่อยู่คู่สังคมโลกมากว่า 2,000 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับสติปัญญา และติดอาวุธทางความคิดให้แก่ผู้อ่าน ต้องยกความดีความชอบให้แก่ โยฮันเนส กูเตนเบิร์ก (Johannes Gutenberg) ที่สามารถคิดค้นเครื่องพิมพ์ขึ้นมาได้ ทำให้ในปัจจุบันมีหนังสือจำนวนมหาศาลออกมาให้ผู้คนได้เลือกสรรอ่านกันอย่างหลากหลาย

          หนังสือเล่มโปรดของผมที่ขอยกมาแนะนำ คือ นิยายแปลเรื่อง “Silver Lining Playbook” ของ Matthew Quick แปลโดย รัตนสุดา กิตติก้องนภางค์ เล่าเรื่องราวของ แพท ครูสอนประวัติศาสตร์ที่สูญเสียทุกอย่าง ทั้งบ้าน การงาน และภรรยา เขาต้องกลับมาอยู่บ้านพ่อและแม่หลังจากใช้เวลาสี่ปีในสถานบำบัดทางจิต เนื่องจากมีอาการ Bipolar (โรคอารมณ์สองขั้ว คลุ้มคลั่ง + ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน ฟุ้งซ่าน)

          แพทตัดสินใจที่จะฟื้นฟูชีวิตของตนเอง เขาต้องจัดการกับชีวิตหลายอย่าง ซึ่งครอบครัวของแพทก็อยากให้เขากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นเพื่อกลับไปสานสัมพันธ์กับ นิกกี้ อดีตภรรยา แต่ความทรงจำในอดีตก็ยังคงตามหลอกหลอนแพทไม่เลิกรา แพทได้พบกับทิฟฟานี หญิงสาวที่สูญเสียสามีและชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาเหมือนกัน เธอได้เสนอที่จะช่วยแพทคืนดีกับภรรยา แต่ด้วยข้อแม้ที่ว่าเขาต้องทำสิ่งสำคัญบางอย่างต่อเธอเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อทั้งสองตกลงที่จะช่วยเหลือกัน ความสัมพันธ์เหนือความคาดหมายก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกับแสงแห่งความหวังที่เริ่มส่องเข้ามาในชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง

          ผู้เขียนพยายามนำเสนอให้เห็นถึงการพยายามกลับตัวเพื่อกลับมาดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไปของแพทริก แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาได้รับการตอกย้ำจากคนรอบข้างว่าเป็นคนเพี้ยน คนบ้า หรือกระทั่งบุคคลอันตราย จนกระทั่งเขาได้พบกับทิฟฟานี่ บทสรุปจะลงเอยอย่างไร แพทจะสามารถคืนดีกับนิกกี้ได้หรือไม่ จะสามารถใช้ชีวิตดังคนปกติได้หรือเปล่า ต้องติดตาม…

          Silver Linings ย่อมาจากสำนวน Every cloud has a silver lining. ซึ่งมีความหมายว่า ในความมืดมน ใช่จะไร้แสงสว่าง หรือท่ามกลางความเลวร้ายยังมีสิ่งดีๆ อยู่เสมอ เมื่อรวมกับคำว่า Playbook ซึ่งมีความหมายในทางของการเป็น “ตำรา” หรือ “คู่มือ” Silver Linings Playbook จึงมีความหมายแบบเข้าใจได้ว่าเป็นดั่งตำรามองโลกในแง่ดีหรือคู่มือต่อสู้เพื่อผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ในชีวิต

          ประโยคเด็ดที่ชอบในหนังสือ “ชีวิตนั้นลำบากนะแพท และเด็กๆ ต้องได้รับการบอกว่าชีวิตนั้นลำบากขนาดไหน เพื่อพวกเขาจะได้เอื้ออาทรผู้อื่น พวกเขาจะได้เข้าใจว่าบางคนมีชีวิตที่ลำบากกว่าพวกเขา และการเดินทางผ่านโลกใบนี้อาจเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันจนเกินบรรยาย ขึ้นอยู่กับว่าพิษร้ายใดจะซัดกระหน่ำเข้าไปในจิตใจใคร”

          ข้อคิดที่ได้รับจากหนังสือ มีด้วยกันหลายข้อ โดยสอนว่าเราต้องทำสิ่งที่เราทำได้อย่างสุดกำลัง หากเราลงมือทำ และคิดในแง่ดี เราก็จะเจอแต่เรื่องดีๆ ทำให้เข้าใจว่าความยากลำบากของชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เพื่อการดำรงอยู่อย่างเข้มแข็ง บอกเป็นนัยว่าเราไม่ควรยึดติดกับอดีต จนมองข้ามความห่วงใยจากคนรอบข้าง และทำให้เรารู้ว่าความเป็นจริงไม่ได้เรียบง่าย และจบลงอย่างมีความสุขทุกครั้งไป