หน้าหลัก > เอกสารและสิ่งพิมพ์ > บทความพิเศษ

“ขรัวอินโข่ง” กับจิตรกรรมฝาผนังวัดบรมนิวาส


จิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรมภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส
(ที่มา: หนังสือ “บรมนิวาสราชอนุสรณ์ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาส”)

จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ

จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถตามวัดต่าง ๆ มักถ่ายทอดเรื่องราวที่เน้นความสำคัญของพระพุทธเจ้าที่จำลองในรูปของพระพุทธปฏิมาประธาน เล่าเรื่องพุทธประวัติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระชาดก บ้างก็จำลองภาพ “ไตรภูมิ” ซึ่งเป็นคติเกี่ยวกับโลกสัณฐานตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ซึ่งมนุษย์และเวไนยสัตว์ทั้งหลายจะต้องเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะสำเร็จสรรคผลนิพพาน จึงมักปรากฏภาพจำลองจักรวาลไตรภูมิอยู่เบื้องหลังพระประธาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพสังคมสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลและวิทยาการของชาติตะวันตก ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยเฉพาะในรัชกาลต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการปรับรูปแบบและวิธีการเชิงช่างจากจิตรกรรมไทยประเพณีมาเป็นจิตรกรรมตามอย่างสากล คือภาพเสมือนจริง (Realistic Arts) เช่น ภาพอาคาร สถาปัตยกรรมที่เป็นองค์ประกอบถ่ายทอดตามหลักทัศนียวิทยา มีเส้นนำสายตาก่อให้เกิดความตื้นลึกหนาบางและระยะทางใกล้ไกล ต่างจากที่พบในจิตรกรรมไทยประเพณีที่มิได้ให้ความสำคัญถึงสัดส่วนหรือมิติ แต่เน้นที่ความงามเป็นสำคัญ

ส่วนเนื้อหามีการเพิ่มเรื่องราวพงศาวดาร วิถีชีวิต นิทาน ตำนาน หรือเหตุการณ์จริง เช่น ภาพนิทานพื้นบ้านเรื่อง ศรีธนญไชย ในวัดปทุมวนาราม ภาพวรรณคดีเรื่อง อิเหนา ที่วัดโสมนัสวิหาร เป็นต้น ต่างจากจิตรกรรมไทยประเพณีที่เดิมนิยมเขียนเรื่องพุทธประวัติ


พระอุโบสถ วัดบรมนิวาส
(ที่มา: หนังสือ “บรมนิวาสราชอนุสรณ์ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาส”)

ขรัวอินโข่ง ผู้ปฏิวัติภาพจิตรกรรมฝาผนังไทย

ขรัวอินโข่ง เป็นชื่อของ พระอาจารย์อิน จิตรกรคนสำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ บวชและจำพรรษาที่วัดราชบุรณราชวรวิหาร (วัดราชบุรณะ) หรือวัดเลียบ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าในปัจจุบัน

คำว่า ‘ขรัว’ เป็นคำเรียกถึงพระภิกษุที่มีอายุมาก ส่วนคำว่า ‘โข่ง’ หรือ ‘โค่ง’ เป็นฉายาเพราะท่านบวชมานาน ปรากฏในลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ ความตอนหนึ่งว่า “ ... นึกขึ้นมาได้ถึง ขรัวอินโข่ง (ช่างเขียน) เคยได้ไต่สวนว่าทำไมจึงได้ฉายาว่า โข่ง เขาบอกว่าเขายบวชเปนเณรอยู่เกินกาล จึงเรียกกันว่า อินโค่ง ทำให้เข้าใจไปว่าเรียกผิดหรือเขียนหนังสือผิด อ่านผิด แต่เดี๋ยวนี้มานึกขึ้นได้ว่าไม่ผิด หอยโข่งเปนอย่างอยู่ หมายความว่าหอยใหญ่ เณรโค่งก็เณรใหญ่ โข่งหรือโค่งเปนคำเดียวกัน หมายความว่าใหญ่เหมือนกัน ...”

ฝีมือของขรัวอินโข่งเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เขียนภาพจิตรกรรมตามสถานที่สำคัญ ตลอดจนพระอารามต่าง ๆ ที่ทรงสถาปนาหรือบูรณปฏิสังขรณ์ เช่น ที่หอราชกรมานุสรณ์และหอราชพงศานุสร ภายในพระบรมมหาราชวัง ภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาส เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมฝีมือขรัวอินโข่งมีทั้งที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและสภาพสังคมไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายหลังพัฒนาการวาดเป็นภาพ “ปริศนาธรรม” ซึ่งใช้ตัวละครและอาคารแบบตะวันตก เป็นภาพวาดเสมือนจริงและนำหลักทัศนียวิสัยแบบ ๓ มิติมาใช้ โดยให้ความสำคัญที่แสงและเงา

ภาพปริศนาธรรมที่ผนังภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาส เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นการปฏิรูปการวาดหรือเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังจากแบบไทยประเพณีเป็นงานจิตรกรรมแนวใหม่ของขรัวอินโข่งได้เป็นอย่างดี โดยเปลี่ยนจากการระบายสีเรียบ ๆ แล้วตัดเส้น ซึ่งเป็นภาพทัศนวิสัย ๒ ด้าน คือกว้างกับยาว มาเป็นการเขียนภาพเสมือนจริง มีระยะใกล้ไกลตามหลักทัศนียวิสัย มีแสง เงา ปริมาตร มีความลึกเป็น ๓ มิติ เปลี่ยนการใช้หลายสีและปิดทองมาเป็นการใช้สีเอกรงค์ คือใช้วรรณสีเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น สีน้ำเงิน เขียว ดำ น้ำตาล ส่วนสีอ่อนมักใช้สีฟ้า ชมพู ขาว เป็นต้น ภาพโดยรวมจึงมีสีทึม ทำให้ได้บรรยากาศสลัวและสงบ

ภาพปริศนาธรรม

บรรดาพระอารามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหรือบูรณปฏิสังขรณ์ หลายแห่งปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน โดยเป็นภาพ “ปริศนาธรรม” ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาผูกเป็นปริศนาโดยมุ่งเน้นให้เห็นถึงคุณค่าของพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะเป็นภาพ “ฉฬาภิชาติ” ตามที่ปรากฏใน “ฉฬาภิชาติยสูตร” เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ ขณะประทับจำพรรษาที่ภูเขาคิชฌกูฏ กล่าวถึงจิตใจของคน ๖ ประเภท ซึ่งนอกจากจะสื่อด้วยสีของเสาภายในพระอุโบสถที่แต่ละต้นมีสีอ่อน-แก่แตกต่างกัน เช่น เสาที่ไกลพระประธานมีสีเข้ม ปรากฏภาพการยิงนกตกปลา เสาที่ใกล้พระประธานมีสีอ่อน ปรากฏภาพการออกบวช เป็นต้น เป็นการเปรียบเทียบการกระทำของบุคคลที่อยู่ใกล้หรือไกลพระพุทธศาสนา ดังที่พบบนเสาภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร วัดโสมนัส วัดมกุฎกษัตริยาราม เป็นต้น


ภาพจิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรมบนผนังภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ฝีมือขรัวอินโข่ง
มีรูปแบบและเนื้อหาคล้ายคลึงกับภาพปริษนาธรรมวัดบรมนิวาส
(ที่มา: หนังสือ “บรมนิวาสราชอนุสรณ์ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาส”)

นอกจากนี้ยังปรากฏภาพจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของพระอารามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นภาพปริศนาธรรมที่พบเฉพาะภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาสและวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีเนื้อหาและรูปแบบใกล้เคียงกัน สันนิษฐานว่าอาจมาจากพระราชประสงค์ที่จะสถาปนาวัดบรมนิวาสเป็นพระอารามฝ่ายอรัญวาสีคู่กับวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอารามฝ่ายคามวาสี


ตัวอย่างจิตรกรรมฝาผนังปริศนาธรรมภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส
(ที่มา: หนังสือ “บรมนิวาสราชอนุสรณ์ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาส”)

จักรวาลวิทยาในวัดบรมนิวาส

จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส นอกจาเป็นภาพที่ใช้รูปแบบและเทคนิคสมัยใหม่แล้ว ยังปรากฏภาพดวงดาวในระบบสุริยะ ตามหลักดาราศาสตร์ของตะวันตก อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพระบบสุริยะ หรือ Solar System ภาพแรกของไทย มีทั้งหมด ๘ ดวง ได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส มีภาพดวงอาทิตย์เปล่งรัศมีบนผนังด้านหลังพระประธาน เป็นศูนย์กลางแทนเขาพระสุเมรุตามคติจักรวาลแบบไตรภูมิ ใกล้กันพบดวงจันทร์ โดยสังเกตจากเป็นดาวที่มีด้านมืดและสว่างสอดคล้องกับลักษณะทางกายภาพของดวงจันทร์

ผนังด้านขวาพระประธานมีภาพดาวเสาร์ ลักษณะตรงตามข้อมูลทางดาราศาสตร์ ด้านซ้ายพระประธาน ตอนบนปรากฏภาพดาวขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าเป็นดาวพฤหัสบดี เพราะมีดาวบริวาร (Natural Satellite) ล้อม ๔ ดวง หรือที่รู้จักในนาม ดวงจันทร์กาลิเลียน (Galilean Moons)


ภาพดวงดาวบนจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส
(ที่มา: https://www.facebook.com/groups/chillpainai/posts/3107875976027732)

ดวงดาวอื่น ๆ ที่ปรากฏบนผนังแม้ไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นดาวดวงใด แต่สันนิษฐานว่าเป็นดาวอีก ๔ ดวงในระบบสุริยะ คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวยูเรนัส ส่วนที่ไม่ปรากฏภาพดาวโลกนั้น เนื่องด้วยเมื่ออยู่ภายในพระอุโบสถ เสมือนว่าเรายืนอยู่บนพื้นโลกแล้วแหงนมองดวงดาวบนท้องฟ้า

การปรากฏภาพดวงดาวบนจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส อาจเป็นด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสนพระทัยศึกษาวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่ พระราชทานแนวพระราชดำริให้ขรัวอินโข่งนำมาเขียนเป็นส่วนหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนังส่วนที่เป็นท้องฟ้าผสมผสานกับคติแบบไทยประเพณี จึงปรากฏภาพเทวดาและเทวธิดาร่วมอยู่ด้วย อาจกล่าวได้ว่าจิตรกรรมฝาผนังที่วัดบรมนิวาสเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงการก้าวเข้าสู่สังคมยุคใหม่เช่นเดียวกับอารยประเทศทั้งหลายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ภาพดวงดาวในระบบสุริยะบนจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบรมนิวาส
(ที่มา: https://www.nstda.or.th/sci2pub/mystery-of-the-stars-in-wat-boromniwat)

    ที่มา
  • สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์. (๒๕๕๘). บรมนิวาสราชอนุสรณ์ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาส. กรุงเทพ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.