หน้าหลัก > เอกสารและสิ่งพิมพ์ > บทความพิเศษ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรมและทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศ ด้วยพระปรีชาสามารถอันสุขุมคัมภีรภาพเล็งเห็นการณ์ไกล จึงมีพระบรมราโชบายผ่อนปรนทางการทูตจนประเทศสยามรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดินิยมตะวันตก เป็นชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำรงความเป็นเอกราชไว้ได้อย่างสง่างาม นำไปสู่การเปิดประเทศต้อนรับชาติตะวันตก เป็นผลให้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ยังประโยชน์สุขแก่พสกนิกรเป็นอเนกประการ แม้ชาวต่างประเทศต่างแซ่ซ้องสรรเสริญถึงพระปรีชาสามารถและพระเกียรติคุณของพระองค์กันทั่วไปในฐานะจอมกษัตริย์แห่งสยาม

พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เสด็จพระบรมราชสมภพในรัชกาลที่ ๑ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีชวด ฉศก จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี มีสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาธิราชร่วมสมเด็จพระบรมราชชนนี ๒ พระองค์ คือ

  • ๑) สมเด็จเจ้าฟ้าชาย สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ
  • ๒) พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศวร์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

พ.ศ. ๒๓๕๒ พระชนมพรรษา ๕ พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์จึงเสด็จเข้าประทับในพระบรมมหาราชวังพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี และทรงเลื่อนพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ แต่โดยทั่วไปนิยมออกพระนามโดยสามัญว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่” “เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่” หรือ “เจ้าฟ้าใหญ่”


(ซ้าย) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์อย่างนายทหารฝรั่งเศส
ทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เลจิออง ดอนเนอร์ (Legion d' Honneur) ซึ่งจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส
โปรดให้นายพลเรือเอก โบนาร์ด (Bonard) แม่ทัพเรือภาคโคชินชีน (Cochin Chine) อัญเชิญเข้ามาทูลเกล้าฯ
ถวายที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๖
(ขวา) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์อย่างเครื่องแบบนายทหารเรือสหรัฐอเมริกา
พระแสงกระบี่ สันด้ามเป็นรูปนกอินทรี ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถวาย ฉายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑

พระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนาม

พ.ศ. ๒๓๕๕ พระชนมพรรษา ๙ พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นแบบอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามเจ้าฟ้ายังมิได้ทำเป็นแบบอย่างไว้ จึงมีพระราชประสงค์จะทำไว้ให้เป็นพระเกียรติยศสืบไปเบื้องหน้า โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระปิตุลาของพระองค์ และเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) ตั้งการพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ เป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทวาวงษ พงษอิศรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร


(ซ้าย) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์อย่างยุโรป ทรงพระภูษาโจง พระมาลาแบบสก็อต ฉายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓
(ขวา) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์อย่างยุโรป ทรงพระภูษาโจง พระมาลาแบบสก็อต
พระราชหัตถเลขาที่ปรากฏตรงกับวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๔

การศึกษาขณะทรงพระเยาว์

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ขณะประทับ ณ พระราชวังเดิม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มศึกษาอักขรวิธี พุทธวจนะ และวิชาการคดีโลกอื่น ๆ ในสำนักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม ทรงศึกษาวิชาคชกรรมและตำราพิชัยสงครามกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) ซึ่งสืบเชื้อสายจากตระกูลหมอเฒ่ามาแต่สมัยอยุธยา ตลอดจนฝึกหัดการใช้อาวุธทั้งปวงอย่างคล่องแคล่ว

ตามธรรมเนียมโบราณราชประเพณีสืบมาตั้งแต่ครั้งอยุธยา การศึกษาของพระราชกุมารเมื่อเรียนอักขรวิธีเบื้องต้นตลอดแล้ว เมื่อพระชนมายุถึง ๑๔ พรรษา ต้องทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา และเมื่อเจริญพระชนมายุถึง ๒๑ พรรษา ต้องทรงผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาและวิชาขั้นสูงอีกครั้งหนึ่ง จึงนับว่าสำเร็จการศึกษาแต่นั้นไป


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานธรรมเทศนาให้กรมฝ่ายในฟังในวันวิสาขบูชา
ทรงเครื่องทรงศีล ภูษาโจมสีแดง มีผ้าขาวทับ ทรงสะพัก (ผ้าห่มเฉียงบ่า) ฉายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐

ทรงผนวช

พ.ศ. ๒๓๖๐ พระชนมมายุ ๑๔ พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงบรรพชาเป็นสามเณร มีพิธีสมโภช ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และแห่ไปทรงบรรพชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากนั้นเสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นเวลา ๗ เดือน

พ.ศ. ๒๓๖๗ พระชนมพรรษา ๒๑ พรรษา พระบาทสเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงผนวชตามธรรมเนียมราชประเพณี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระนามฉายาว่า วชิรญาโณ มีความหมายว่า ผู้มีความสามารถอันสว่างประดุจเพชร เสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เวลาต่อมาเสด็จไปจำพรรษาและทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ ณ วัดสมอราย (ต่อมาพระราชทานนามว่า วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร)

ภายหลังที่ทรงผนวชได้ ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคต โดยมิได้ทรงมอบราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีประชุมปรึกษากันแล้ว ได้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดาที่ทรงเจริญพระชนมายุมากกว่าถึง ๑๗ พรรษา และทรงมีประสบการณ์มากทั้งในด้านการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจการค้า เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบราชสันตติวงศ์เป็นรัชกาลที่ ๓ พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) เหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริที่จะทรงดำรงอยู่ในสมณเพศต่อไป ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะศึกษาหาความรู้ด้านวิปัสสนาธุระอย่างถ่องแท้ ครั้งออกพรรษาแล้วจึงเสด็จฯ กลับมาประทับ ณ วัดมหาธาตุฯ เพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมและภาษามคธ (บาลี) กับพระวิเชียรปรีชา (ภู่) เจ้ากรมราชบัณฑิตอยู่ ๓ ปี จนทรงเชี่ยวชาญรอบรู้พระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน พระปรีชาสามารถปรากฏเป็นที่เลื่องลือ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาให้พระองค์ทรงแปลพระปริยัติธรรมถวายในที่ประชุมพระราชาคณะ ทรงแปลพระปริยัติธรรมได้ ๕ ประโยค พอเป็นที่ฉลองพระราชศรัทธาแล้วมิได้ทรงแปลต่อ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระราชหฤทัย พระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญธรรม ๙ ประโยค ให้ทรงถือเป็นพระเกียรติยศ นับเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้รับพระราชทาน พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ


(ซ้าย) พระตำหนักปั้นหยา ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวชประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
(ขวา) พระตำหนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
ทรงสร้างถวายเมื่อครั้งทรงผนวชประทับจำพรรษา ณ วัดราชาธิวาส

ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกาย

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณาว่าวัตรปฏิบัติที่พระสงฆ์ไทยประพฤติกันอยู่นั้นวิปลาสคลาดเคลื่อนจากพระวินัยปิฎกที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติอยู่มาก ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติตามแบบพระมอญที่ประพฤติวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ขัดข้องด้วยช่วงนั้นประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุฯ ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช จึงทรงย้ายไปประทับ ณ วัดสมอราย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ มีพระภิกษุหลายรูปถวายตัวเป็นสานุศิษย์ด้วยความเลื่อมใสในพระราชดำริเพิ่มขึ้นโดยลำดับ จึงทรงตั้งคณะสงฆ์ซึ่งแสวงหาสัมมาปฏิบัตินิกายใหม่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้สมบูรณ์ทั้งพระธรรมและพระวินัยเรียกว่า คณะธรรมยุติกนิกาย หรือเรียกโดยสามัญว่า คณะธรรมยุต

ครั้นเมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ โปรดให้สร้างวัดบวรนิเวศวิหาร ขณะนั้นตำแหน่งเจ้าอาวาสยังว่างอยู่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์พระองค์ขึ้นเสมอเจ้าคณะรอง แล้วทรงอาราธนาให้เสด็จฯ มาครองวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ เวลานั้นมีพระชนมพรรษา ๓๒ พรรษา และทรงผนวชได้พรรษา ๑๒ การเสด็จไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารนี้เป็นผลให้พระองค์ทรงจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ตามคติธรรมยุติกนิกายได้ตามพระราชประสงค์ ซึ่งยังคงยึดถือปฏิบัติสืบมาถึงปัจจุบัน

ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศและวิทยาการต่าง ๆ

สืบเนื่องจากการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกในตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย กล่าวคือ พ.ศ. ๒๓๗๑ มิชชันนารีโปรแตสแตนต์คณะแรกเดินทางเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ประกอบด้วย คาร์ล ออกัสตัส ฟรีดริค กุตสลาฟฟ์ (Carl Augustus Friedrich Gutzlaff) ชาวเยอรมัน และจาคอบ ทอมลิน (Jacob Tomlin) ชาวอังกฤษ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม หมอกิศลับและหมอตอมลิ้น มิชชันนารีทั้งสองเดิมสอนศาสนาอยู่ในประเทศจีน ต่อมาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโปรแตสแตนต์ในหมู่คนจีนเป็นสำคัญ หลังจากที่ขออนุญาตจากรัฐบาลไทยแล้วจึงเริ่มงานด้วยการชักชวนกลุ่มคนจีนให้เข้ารีต โดยอาศัยวิธีการแจกหนังสือสอนศาสนาที่แปลออกเป็นภาษาจีนพร้อมแจกยารักษาโรค ในเวลานั้นถึงแม้ว่าจะยังมิได้มีการรักษาทางด้านการแพทย์อย่างจริงจัง แต่ปรากฏว่าทั้งคนไทยและคนจีนต่างให้ความสนใจ พากันมารับการแจกหนังสือและยารักษาโรคเป็นจำนวนมาก

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแปลข้อความในหนังสือสอนศาสนา ปรากฏว่าไม่พบข้อความใดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลไทย จึงทรงอนุญาตให้มิชชันนารีโปรแตสแตนต์สอนศาสนาต่อไปได้ แต่ประกาศมิให้คนไทยรับแจกหนังสือ หลังจากนั้นมิชชันนารีทั้งสองเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศไทยเป็นเวลา ๓ ปี จึงได้ขอย้ายไปสอนศาสนาที่ประเทศจีน จนสภาคริสตจักรอเมริกัน (American Board of Commissions for Foreign Mission : ABCFM) ส่งคณะมิชชันนารีชุดใหม่เข้ามาแทนอย่างต่อเนื่องอีกหลายชุด

บทบาทของมิชชันนารีนอกจากทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาแล้ว ยังได้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมไทยด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการนำความรู้ความก้าวหน้าของวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในสังคมไทย เช่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข การช่าง การพิมพ์ เป็นต้น ตลอดจนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บุคคลที่สนใจเพื่อหวังผลที่จะสร้างความนับถือเลื่อมใสในหมู่คนไทย อันจะนำไปสู่การเข้ารีตในที่สุด อย่างไรก็ตามความรู้เหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันหลายกลุ่ม

พรมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนางระดับสูง เป็นกลุ่มแรกที่ตื่นตัวและตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากการเข้ามาของมิชชันนารี โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มเจ้านายและขุนนางหนุ่มที่เรียกว่า กลุ่มชนชั้นนำหัวก้าวหน้า ได้ริเริ่มคบหาเป็นมิตรกับเหล่ามิชชันนารี มีความสนใจศึกษาวิชาภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก เพื่อจะนำความรู้นั้นมาพัฒนาตนเองและทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ บุคคลกลุ่มนี้ประกอบด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงษ พระวชิรญาณมหาเถระ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวงษาสนิท (ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท) หลวงนายสิทธิ์ (ช่วง บุนนาค ต่อมาคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) จมื่นราชามาตย์ (ขำ บุนนาค ต่อมาคือ เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี) หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร) และนายโหมด อมาตยกุล (ต่อมาคือ พระยากระสาปนกิจโกศล)


(ซ้าย) แดน บีช บรัดเลย์ หรือ หมอบรัดเลย์ (Rev. Dan Beach Bradley)
(ขวา) แซมมวล เรโนลส์ เฮ้าส์ หรือ หมอเหา (Rev. Samuel Renolds House)

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนเร่งและกระตุ้นให้กลุ่มชนชั้นนำหัวก้าวหน้าตระหนักและเห็นถึงความจำเป็นในการศึกษาวิทยาการตะวันตก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่อังกฤษได้รับชัยชนะเหนือพม่าและจีนใน พ.ศ. ๒๓๖๙ และ ๒๓๘๕ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของชนชั้นนำไทยเป็นอย่างยิ่งที่เริ่มตระหนักถึงแสนยานุภาพของมหาอำนาจตะวันตกที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาคุกคามดินแดนเอเชียนตะวันออกเฉียงใต้ และเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นจะต้องเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษและวิทยาการแบบตะวันตกในด้านต่าง ๆ เพื่อนำประโยชน์จากความรู้นั้นมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศ ทั้งยังเป็นหนทางที่จะคลี่คลายแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังตึงเครียดในเวลานั้น

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงมูลเหตุที่ทำให้กลุ่มชนชั้นนำหัวก้าวหน้าของไทยเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ ความตอนหนึ่งว่า

“... ในสมัยนั้นผู้มีสติปัญญาที่เป็นชั้นสูงอยู่ในประเทศนี้ แลเห็นอยู่แล้วว่าการสมาคมที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งต่างประเทศ คงจะต้องมีขึ้นกว่าแต่ก่อน แลภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาสำคัญทางประเทศตะวันออกนี้ มีเจ้านายบางพวกแลข้าราชการบางคนปรารถนาจะศึกษาวิชาการแลขนบธรรมเนียมของฝรั่ง แลจะเล่าเรียนให้รู้ภาษาอังกฤษจึงพยายามเล่าเรียนศึกษากับพวกมิชชันนารีตั้งแต่เมื่อในรัชกาลที่ ๓ ...”

เฉพาะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงตระหนักถึงภัยของมหาอำนาจตะวันตกที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนี้ จึงทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการศึกษาภาษาอังกฤษและคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก นับแต่ครั้งที่พระองค์ทรงผนวชและประทับอยู่ที่วัดสมอราย ซึ่งมีเขตติดต่อกับวันคอนเซปชันของพวกโรมันคาทอลิก เป็นผลให้สนิทสนมกับพระสังฆราชปาลเลกัวซ์ (Pallequoix Bishop) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส เจ้าอธิการของวัดนั้น ซึ่งมักมาเฝ้าฯ ทูลถามความรู้ทางภาษาและขนบธรรมเนียมไทยอยู่เนือง ๆ จึงโปรดให้พระสังฆราชปาลเลกัวซ์สอนภาษาอังกฤษถวายเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันละกัน

เมื่อพระองค์เสด็จฯ ไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับหมอบรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกันอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาเกิดเหตุการณ์จีนแพ้สงครามอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๘๕ ต้องทำหนังสือสัญญายินยอมให้ต่างชาติเข้ามามีอำนาจในประเทศจีน พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า เมื่อฝรั่งเริ่มมีอำนาจในตะวันออกเช่นนี้ ประเทศไทยอาจจะต้องมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า จึงทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษอย่างจริงจังกับหมอแคสเวล มิชชันนารีชาวอเมริกันเป็นเวลา ๓ ปี จนทรงพระปรีชาสามารถอ่านเขียนและตรัสภาษาอังกฤษได้เชี่ยวชาญแตกฉาน ปรากฏหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๓ ว่าเมื่อรัฐบาลอังกฤษส่งทูตมาเจริญพระราชไมตรี หนังสือที่มีไปมาระหว่างกันจะต้องส่งไปถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรวจทุกฉบับ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการศึกษาวิทยาการความก้าวหน้าของตะวันตก เช่น วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนทรงสามารถรู้เท่าทันในความผันแปรของสถานการณ์โลกในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี กล่าวได้ว่าความรู้ด้านภาษาอังกฤษและวิชาการต่าง ๆ ที่ทรงศึกษานั้นได้อำนวยคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ ในเวลาต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ยังผลให้ทรงนำประเทศชาติผ่านพ้นมหันตภัยทางการเมืองมาโดยสวัสดิภาพ

เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ

วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งปวง พร้อมใจกันกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับและตรัสขอให้ถวายราชสมบัติแด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ สมเด็จพระอนุชาธิราชอีกพระองค์หนึ่ง ด้วยทรงเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ การทหาร และการเดินเรือ

วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ทรงรับราชสมบัติและถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แล้วทรงรอพระฤกษ์ลาผนวชในวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ จากนั้นพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีจึงอัญเชิญเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากวัดบวรนิเวศวิหารไปยังพระบรมมหาราชวัง เสด็จฯ ขึ้นถวายน้ำสรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จฯ ไปประทับที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขณะนั้นมีพระชนมพรรษา ๔๗ พรรษา ทรงผนวชอยู่ ๒๗ พรรษา


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับเกยพระราชยานหน้าพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท
ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ประทับพระราชยานเสด็จไปฟังสวดพระพุทธมนต์
ในพระราชพิธีรับพระสุพรรณบัฏ พ.ศ. ๒๔๐๔

พระปรีชาสามารถด้านการปกครองและบริหารราชการแผ่นดิน ท่ามกลางลัทธิล่าอาณานิคม

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความทุกข์ยากของราษฎรนับแต่ครั้งทรงผนวช ราษฎรส่วนใหญ่มักถูกผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหง จึงมีพระราชดำริแก้ไขวิธีการถวายฎีกาแบบเก่าที่เดิมราษฎรต้องเข้าไปตีกลองวินิจฉัยเภรีที่ทิมดาบกรมวัง ดังที่เรียกว่า “ตีกลองร้องฎีกา” ซึ่งมีธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องถูกเฆี่ยนก่อน ๓๐ ที เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความทุกข์ร้อนอย่างแท้จริง โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมประเพณีการถวายฎีกาดังกล่าว และทรงพระเมตตาโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรเข้าฝ้าฯ ถวายฎีกา ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ โดยเสด็จฯ ออกทรงรับฎีกาด้วยพระองค์เองทุกวันโกน ดือนละ ๔ ครั้ง คือ วันขึ้น ๗ ค่ำ แรม ๗ ค่ำ ขึ้น ๑๔ ค่ำ และแรม ๑๔ ค่ำ เมื่อเสด็จฯ ออกโปรดให้เจ้าพนักงานตีกลองวินิจฉัยเภรีให้ราษฎรทราบ เมื่อทรงรับฎีการ้องทุกข์แล้วโปรดให้ตุลาการชำระความให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎรเป็นล้นพ้น

นอกจากนี้ ยังทรงมีพระราชดำริในการเสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อทรงตรวจราชการบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของราษฎร เพราะทรงตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการเสด็จประพาสมาตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงผนวช ดังนั้นเมื่อเสด็จขึ้นเสวยราชย์แล้ว หากมีโอกาสคราวใดก็จะเสด็จประพาสตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในพระนครและตามหัวเมืองอยู่เนือง ๆ ดังปรากฏหลักฐานว่าพระองค์เสด็จฯ ทางเหนือไปถึงเมืองพิษณุโลก ทางตะวันออกเสด็จฯ ถึงเมืองปราจีนบุรีและหัวเมืองชายทะเล ตลอดจนถึงเมืองจันทบุรีและตราด ทางใต้เสด็จฯ ไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและสงขลา และทางตะวันตกเสด็จฯ ไปถึงเมืองนครชัยศรี กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี

ข้อสำคัญประการหนึ่งสำหรับการเสด็จประพาสนี้ เดิมมีธรรมเนียมห้ามมิให้ราษฎรเข้าใกล้ชิดหนทางขณะที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน ตลอดทั้งยังบังคับให้ปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือนที่ตั้งอยู่สองข้างทางอีกด้วย ในการนี้ โปรดฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้าฯ ชมพระบารมีได้อย่างใกล้ชิด

ในด้านกฎหมายและการศาลนั้น โปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงแก้ไขและตรากฎหมายขึ้นเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรตลอดรัชกาล โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ พระราชทานนามว่า โรงอักษรพิมพการ โปรดให้ตีพิมพ์ประกาศข่าวราชการและข้อกฎหมายต่าง ๆ ให้ส่วนราชการและราษฎรได้รับทราบเรียกว่าหนังสือ “ราชกิจจานุเบกษา” ซึ่งถือเป็นสิ่งพิมพ์ฉบับแรกของทางราชการ นับเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเผยแพร่ข่าวสารของทางราชการสืบมาตราบทุกวันนี้


(ซ้าย) เซอร์ เจมส์ บรุ๊ค (Sir James Brooke)
(ขวา) เซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง (Sir John Bowring) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ปรับปรุงการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพตามแบบชาติตะวันตก จึงทรงติดต่อให้ชาวยุโรปและอเมริกันเข้ามารับราชการในกรมต่าง ๆ ในฐานะที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะนำความคิดใหม่ ๆ ให้แก่ข้าราชการไทย นอกจากนั้นยังทรงจ้างชาวต่างประเทศให้รับราชการประจำอยู่ในต่างประเทศด้วย โดยทรงแต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มของประเทศไทยประจำยุโรปเป็นคนแรก พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ

สถานการณ์บ้านเมืองตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกขยายตัวมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจึงบรรเทาลงโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหม่ที่ไทยต้องเผชิญในขณะนั้นคือปัญหาด้านการต่างประเทศ ด้วยเหตุที่ชาติตะวันตกไม่พอใจระบบการค้าแบบผูกขาดของไทย และต้องการแก้ไขสนธิสัญญาที่เคยทำไว้กับไทย ดังเช่นกรณีของโจเซฟ บัลเลสเตียร์ (Joseph Balestier) ทูตสหรัฐอเมริกา และ เซอร์ เจมส์ บรุ๊ค (Sir James Brooke) ทูตอังกฤษ ที่เดินทางเข้ามาใน พ.ศ. ๒๓๙๓ แต่การเจรจาล้มเหลว โดยเฉพาะบรุ๊คนั้น เมื่อกลับไปก็ได้เสนอให้รัฐบาลอังกฤษใช้กำลังบีบบังคับให้ไทยปฏิบัติตาม แต่ประจวบกับเวลานั้นเป็นช่วงสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลอังกฤษจึงยังมิได้ดำเนินการ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อมา พระองค์ทรงตระหนักดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในภาวะตึงเครียดมาก หากไทยยังคงดึงดันต่อสู่ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน คงต้องประสบกับการสูญเสียเอกราช จึงมีพระบรมราโชบายที่จะดำเนินการผ่อนปรนในเชิงการทูตเพื่อรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์มีพระราชหัตถเลขาถึง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตอังกฤษเป็นการส่วนพระองค์ โดยทรงแนะนำให้เบาว์ริงติดต่อเป็นทางการผ่านเสนาบดีกรมท่า เพื่อจะได้เตรียมการต้อนรับและประกาศให้ราษฎรได้รับทราบ ทั้งยังขจัดความตื่นกลัวของราษฎรและป้องกันมิให้มีข่าวลือผิดความเป็นจริงเกี่ยวกับการเข้ามาของเรือกำปั่นรบของคณะทูต นอกจากนี้ยังทรงขอให้เบาว์ริงแจ้งให้พระองค์ทราบเป็นการส่วนพระองค์ถึงประเด็นที่เบาว์ริงต้องการมาเจรจา เพื่อพระองค์จะได้ทรงปรึกษาและหยั่งท่าทีของเหล่าเสนาบดีว่าจะขัดแย้งในหลักการข้อใด ซึ่งจะทำให้การเจรจาสะดวกขึ้น

การดำเนินนโยบายผ่อนปรนทางการทูตดังกล่าว นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและละเอียดอ่อนมาก ด้วยพระองค์มีพระราชดำริว่า นโยบายปิดประเทศไม่คบค้าสมาคมกับชาวต่างชาติจะเป็นเหตุอันตรายต่อเอกสารของชาติเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนั บตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นต้นมา พระองค์จึงทรงเริ่มติดต่อทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับชาติตะวันตก ๙ ประเทศ คือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สาธารณรัฐฮานเซียติค โปรตุเกส ฮอลันดา ปรัสเซีย และอิตาลี ตามลำดับ ในการนี้ประเทศสุดท้ายคืออิตาลีนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ (เซอร์ จอห์น เบาว์ริง) เป็นอัครราชทูตพิเศษทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเหตุที่พระองค์ทรงเปิดประเทศรับสัมพันธไมตรีกับทุกประเทศอย่างเสมอภาค มิให้ประเทศใดประเทศหนึ่งได้รับสิทธิพิเศษเกินเลยกว่ากัน เป็นผลให้ทุกประเทศต่างรักษาขอบเขตของสัมพันธภาพ ด้วยพระราชวิเทโศบายอันฉลาดลึกซึ้งนี้เป็นผลให้ไทยสามารถรักษาเอกราชของชาติไว้ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก


(จากซ้าย) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท, สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค),
เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค)


(จากซ้าย) หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรากูร) พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล)

นอกจากการทำหนังสือสัญญาทรงพระราชไมตรีและการค้ากับนานาประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระบรมราโชบายทางการทูต ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีการส่งราชทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศในทวีปยุโรป กล่าวคือ พ.ศ. ๒๔๐๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๔๔๔) และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษา (แพ บุนนาค) เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส (พ.ศ. ๒๓๙๕-๒๔๑๓) ตามลำดับ


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกรับ เซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ราชทูตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘
ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกรับมองติญี ราชทูตฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระอภิเนาวนิเวศน์ พระบรมมหาราชวัง

นอกจากนี้ พระองค์ยังมีพระราชสาส์นติดต่อไปยังประมุขของประเทศต่าง ๆ ที่ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับไทยอีกหลายประเทศ ซึ่งล้วนแสดงถึงพระปรีชาสามารถในด้านการต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงพระเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ในการนี้ สมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส โปรดให้นายพลเรือเอกโบนาร์ด (Bonard) อัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงของฝรั่งเศสเลจิออง ดอนเนอร์ (Legion d’ Honneur) มาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๖ โดยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของแนวพระราชดำริที่จะสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบฝรั่งขึ้นมาบ้าง ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ส่งไปถวายสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ เป็นการตอบแทน

พระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ของโลกตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด้านภาษาต่างประเทศ ภูมิศาสตร์ แผนที่ เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์

ในยุคร่วมสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น นักดาราศาสตร์กำลังสนใจ ปัญหาของสามวัตถุ (Three Body Problem) และ ปัญหาของนานาวัตถุ (N-Body Problem) นักคิดมากมายพยายามค้นหาวิธีคำนวณตำแหน่งของดวงจันทร์ ซึ่งโคจรรอบโลกภายใต้แรงรบกวนจากดวงอาทิตย์ และทั้งโลกและดวงจันทร์ขณะเมื่อโคจรรอบดวงอาทิตย์นั้น ก็ยังได้รับแรงรบกวนจากดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย ดังนั้นจึงถือได้ว่ายุคของพระองค์ โลกของวิทยาศาสตร์ คือ การแก้ปัญหาทั้งสองนี้เป็นงานวิจัยหลักในสาขาดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ ปรากฏว่าพระองค์ทรงเข้าร่วมในงานวิจัยนี้ด้วย โดยทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคา ซึ่งการคำนวณเช่นนี้จะต้องแบ่งขั้นตอนออกเป็น ๓ ขั้น คือ

  • ๑. การคำนวณหาตำแหน่งของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ โดยใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ (Theory of Lunar Motion) ซึ่งในสมัยนั้นยังดำเนินการศึกษาวิจัยกันอยู่ในต่างประเทศ ช่วงเวลานี้ สันนิษฐานว่าพระองค์ได้ทรงเริ่มศึกษาวิจัยแล้ว กล่าวคือ พระองค์เริ่มต้นศึกษา Lunar Theory ประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๖ ปรากฏว่าพระองค์ทรงสามารถคำนวณตำแหน่งเทหวัตถุหลักของการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง
  • ๒. หลังจากคำนวณตำแหน่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้แล้ว จะต้องทำการคำนวณเพื่อตรวจสอบว่าจะมีโอกาสเกิดอุปราคาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ผ่านไป ถ้าสามารถเกิดได้จึงจะคำนวณขั้นต่อไป
  • ๓. ทำการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาครั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้ การเกิดสุริยุปราคาจะมีลักษณะอย่างไร ชนิดมืดหมดวง หรือชนิดวงแหวน หรือชนิดมืดบางส่วน จะเห็นได้ที่ไหรและเวลาเท่าไหร่ตามระบบเวลามาตรฐาน ซึ่งต้องนำมาใช้ในการคำนวณด้วยตลอดตั้งแต่ต้น

พระองค์ทรงคำนวณได้อย่างถูกต้องในลักษณะของการเกิด เวลาที่เกิด และตำบลที่จะสังเกต ซึ่งเมื่อได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบจากหลักฐานการคำนวณของหอดูดาวกรีนิชแล้ว ปรากฏว่าระบบการคำนวณของพระองค์ถูกต้อง แต่ตัวเลขของพระองค์ไม่มีในระบบของกรีนิช แสดงว่าพระองค์ทรงคำนวณขึ้นมาด้วยพระองค์เอง มิได้นำเอาผลการคำนวณของฝรั่งมาประยุกต์สำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด สรุปสาระสำคัญได้ว่า

  • - พระองค์ทรงคำนวณด้วยวิธีทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ขั้นสูง จะใช้วิธีการคำนวณด้วยวิธีโหราศาสตร์มิได้
  • - ต้องคำนวณด้วยพระองค์เองทั้งสามขั้นตอน
  • - หลักฐานทางฝ่ายกรีนิชนั้นแสดงหเห็นว่าไม่เปิดโอกาสให้สามารถนำเอาตัวเลขนั้นมาคำนวรเพิ่มเติมต่อ เพื่อหาว่าการเกิดคราสครั้งนั้นจะเห็นในประเทศไทยในลักษณะใด เวลาเท่าใด
  • - พระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาครั้งนั้นล่วงหน้าถึงสองปี ในสมัยนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หลักฐานการคำนวณของกรีนิชจะทำสำเร็จ และส่งมาถึงพระองค์ก่อนเวลาได้นานถึงเพียงนั้น
  • - การคำนวณของฝ่ายกรีนิช แสดงแต่เฉพาะแนวศูนย์กลางของการเดินทางของเงามืดผ่านบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยเป็นเส้น Locus เพียง ๑ เส้นเท่านั้น แต่ผลการคำนวณของพระองค์ได้พยากรณ์ว่าการเกิดคราสในครั้งนั้นจะเห็นมืดหมดทั้งดวงตั้งแต่ชุมพรขึ้นมาถึงปราณบุรี แต่ที่กรุงเทพมหานครจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บดบังไม่หมดทั้งดวง โดยจะเห็นดวงอาทิตย์ขณะเกิดคราสเต็มที่ที่กรุงเทพมหานคร โผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาทางทิศเหนือประมาณหนึ่งในสิบส่วน พระองค์ทรงคำนวณได้อย่างแม่นยำโดยมิได้ทรงอาศัยข้อมูลจากการคำนวณของฝ่ายต่างประเทศ และยังทรงสามารถคำนวณได้โดยละเอียด


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับพระเก้าอี้ โปรดฯ ให้ฉายพระรูปร่วมกับ เซอร์ ออด ผู้ว่าราชการเมืองสิงคโปร์และคณะ
ณ พลับพลาค่ายหลวงบ้านหว้ากอ

สุริยุปราคาเต็มดวง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยากรณ์ว่า ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ วันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง เห็นได้ชัดที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยวิชาดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชั้นสูงที่ทรงศึกษาด้วยพระองค์เองด้วยการใช้ระบบเวลามาตรฐานของประเทศไทย ซึ่งทรงพยากรณ์ล่วงหน้าถึงสองปี โดยไม่มีหลักฐานการคำนวณจากประเทศตะวันตก

วันสำคัญในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ไทย วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่าคราสจะเริ่มจับเวลา ๑๐ นาฬิกา ๔ นาที รอจนถึงเวลา ๑๐ นาฬิกา ๑๖ นาที คราสเริ่มจับมากขึ้นทุกที ท้องฟ้าที่สว่างเริ่มมืดลง จนถึงเวลา ๑๑ นาฬิกา ๒๐ นาที ท้องฟ้ามืดลงจนมองเห็นดวงดาว คราสจับเต็มดวงเมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๖ นาที ๒๐ วินาที กินเวลานาน ๖ นาที ๔๕ วินาที ท้องฟ้ามืดจนเป็นเวลากลางคืน นับเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงตามเวลาที่พระองค์ทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำประเทศไทยเข้าสู่ของวิทยาศาสตร์มาแต่บัดนั้น การเสด็จพระราชดำเนินเพื่อพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงคราวนั้นถือเป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่และครั้งแรกของประเทศไทย โดยพระมหากษัตริย์ไทยทรงคำนวณด้วยพระองค์เองต่อหน้าคณะนักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกและแขกเมืองจากต่างประเทศ


(ซ้าย) รายละเอียดการจับคราส สุริยุปราคาที่หว้ากอ พ.ศ. ๒๔๑๑ จากบันทึกของ เซอร์ แฮรี่ ออด
(ขวา) วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลาเช้า ๕ โมง ๓๖ นาที ๒๐ วินาที จับหมดดวง

พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับและปรากฏเด่นชัดแก่บรรดานักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ในฐานะที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง ทรงพระปรีชาสามารถในการคำนวณสถานที่ที่จะเห็นและเวลาเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างถูกต้อง นับว่าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในนาม “คิงมงกุฎ”


กล้องส่องดาวที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่บ้านหว้ากอ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้นำไปตั้งไว้ที่วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อทรงใช้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาอีกครั้ง
เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ปัจจุบันอยู่ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ

การที่พระองค์ทรงเชิญนักวิทยาศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นคือ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะ เซอร์ แฮรี่ ออด ผู้สำเร็จราชการมลายู ณ เมืองสิงคโปร์ มาร่วมดูสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้เชิญชาวต่างประเทศทุกคนที่ทำงานหรือรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานคร มาร่วมชมด้วยเป็นพิเศษ มีเรือรบที่สำคัญของอังกฤษ ๓ ลำ ได้แก่ เรือรบหลวงกราสฮอปเปอร์ เรือรบหลวงชาแคลไลท์ เรือราชการต่างประเทศไปโห เรือรบของฝรั่งเศส ๒ ลำ คือ เรือรบหลวงเฟรลอง เรือรบหลวงชาร์ท และเรือของไทย ๕ ลำ คือ เรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช เรืออรรคเรศรัตนาสน์ เรือสยามูปสดัมภ์ เรือยงยศอโยชฌิยา เรือขจรชลคดี รวมเรือรบและเรือราชการต่างประเทศสำคัญ ๆ ทั้งสิ้น ๑๐ ลำ

นอกจากจะได้มารับทราบถึงพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของพระองค์แล้ว ยังได้เห็นวิธีการทูตสมัยใหม่ที่มีการปฏิรูปหลายประการ เป็นโอกาสที่พระองค์ได้ประจักษ์พยานทั้งที่เป็นชาวต่างประเทศมากมาย และพระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมทั้งเสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือได้ทรงเพิ่มพูนสัมพันธไมตรีอันอบอุ่นในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมในพิธีการทูตและพิธีการในราชสำนักให้ทันสมัยขึ้นจนเป็นที่ประหลาดใจแก่ชาวต่างประเทศ


เซอร์ แฮรี่ ออด (Sir Harry Ood)
ผู้สำเร็จราชการประจำคาบสมุทรมาลายู ปีนัง มะละกา สิงคโปร์ ของประเทศอังกฤษ

ดาราศาสตร์เดินเรือ

นอกจากพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์เดินเรือ (Celestial Navigation) คือทรงหาตำแหน่งเส้นรุ้งแส้นแวงของเรือพระที่นั่งกลไฟกลางทะเลด้วยพระองค์เอง โดยทรงวัดมุมสูงของดวงอาทิตย์ด้วยกล้องเซกส์แทนท์ (Sextant) เทียบกับเส้นแวงที่ผ่านเมอริเดียนของพระที่นั่งภูวดลทัศนัย ถือเป็นการเริ่มต้นแห่งการนำเอาวิทยาการแผนใหม่มาใช้ในประเทศ โดยทรงดำเนินการด้วยพระองค์เอง ด้วยพระวิริยะอุตสาหะและพระอัจฉริยภาพอันสูงส่ง


บริเวณค่ายหลวงบ้านหว้ากอ


พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึง เมอสิเออร์ เดอ เกรฮาง พระสยามธุรานุรักษ์ กงสุลสยามประจำกรุงปารีส
เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาม ค.ศ. ๑๘๖๘ เรื่อง เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่หว้ากอ
สำเนาจาก หนังสือพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รวมพิมพ์ครั้งที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓ แปลเป็นภาษาไทย โดยหอสมุดแห่งชาติ

ดาวหาง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า หอชัชวาลเวียงชัย ปัจจุบันชาวเมืองเพชรบุรีเรียกว่า กระโจมแก้ว เพราะตัวอาคารมีลักษณะกลมคล้ายประภาคารมีบันไดเวียนภายในขึ้นไปชั้นบน หลังคาเป็นโดมมุงกระจก กลางคืนมีไฟส่องแสงเห็นไปได้ถึงทะเล ชาวเรือได้อาศัยนำเรือเข้าสู่บ้านแหลมหรืออ่าวตะบูน

ตลอดพระชนมชีพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรดาวหาง ๓ ดวง คือ

  • ๑) ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues’s Comet) มีขนาดใหญ่ มีสองหาง ปรากฏในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. ๒๓๕๕ ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎมีพระชนมายุ ๘ พรรษา
  • ๒) ดาวหางโดนาติ (Donati’s Comet) มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบเมื่อในที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๑ และคืนต่อ ๆ มาจนถึงวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๒ รวมเวลานาน ๙ เดือน ชาวไทยเห็นด้วยตาเปล่าระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๑ เป็นดาวหางที่หางหนึ่งเหยียดตรงอีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้ง ชาวไทยสมัยนั้นหวาดกลัวดาวหางเพราะมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าดาวหางเป็นลางบอกเหตุร้าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาตามหลักวิทยาศาสตร์ ทรงสั่งสอนประชาชนให้มีเหตุผล ทรงออกประกาศล่วงหน้าเตือนมิให้ผู้คนตื่นตกใจ ทรงชี้ให้เห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เห็นได้ทั่วโลกไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ทรงออกประกาศ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก “ประกาศดาวหางขึ้นอย่าวิตก” นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศไทย มีเนื้อความว่า

“...พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรแล้ว ดำรัสว่าดาวดวงนี้ทรงจำได้ว่าเคยมีมาแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีมะเมียโทศก จุลศักราช ๑๑๗๒ ได้ ๔๘ ปีมาแล้ว คราวนั้นก็มาในเดือนสิบเอ็ดในทิศนี้ในราศีแลฤดูกาลเวลาเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุอะไร มีแต่ความไข้ทรพิษและกระบือล้มมากแลฝนแล้ง แล้วก้ได้พระเศวตกุญชรในปีมะแมตรีศกนั้น ถึงคนมีอายุมากได้เห็นแล้วแต่ไม่ได้สังเกตก็จำไม่ได้ คนอายุน้อยก็ไม่ได้เคยเห็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจำได้แน่แลพระยาโหราธิบดีก็จำได้แต่ชาวประเทศยุโรปได้เห็นในประเทศยุโรปนานหลายเดือนแล้ว ได้ลงในหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เดือนหกมา แลดาวอย่างนี้มีคติ แลทางที่ดำเนินยาวไปในท้องฟ้าไม่เหมือนดาวพระเคราะห์อื่นแลดาวพระเคราะห์ทั้งปวงเป็นของสัญจรไปนานหลายปี แล้วก็กลับมาให้เห็นในประเทศข้างนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกันแลคิดวิตกเล่าลือไปต่าง ๆ ด้วยว่ามิใช่จะได้เห็นในพระนครนี้ แลเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิได้ ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมือง ทั่วพิภพอย่าได้เห็นนี้แล...”

  • ๓) ดาวหางเทบบุท (Tebbut’s Comet) มีขนาดใหญ่ หางยาวและสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นดวงที่พระองค์สนพระราชหฤทัยมากยิ่ง ถึงกับทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะปรากฏเมื่อใด และทรงประกาศดาวหาง ณ วันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีระกา ๖ ตรีศก ความว่า

“...ถ้าใครเห็นอย่าให้ตกใจว่ากระไรวุ่นวายไป วิสัยของคน แปลกประหลาดในอากาศมีมาถ้าจะมีโทษก็เคยเห็นให้ เกิดเหตุสองอย่างให้ฝนแล้งในฤดูฝน หรือจะให้ฝนตกมากเกินปกติไปอย่างหนึ่ง จะให้เกิดความไข้ต่าง ๆ แก่คนหรือช้างม้า โคกระบืออย่างหนึ่งเหมือนอย่างเช่นดาวหางซึ่งมีมาเมื่อปลายปีมะเมีย สัมฤทธิศกนั้นก็เกิดเหตุแต่กระบือตายมากอย่างหนึ่งแล้วในฤดูฝน ปีมะแม ฝนก็แล้ง ครั้นปลายปีมะแมแลต้นปีวอกก็มีความไข้ลงราก ก็ถ้ากลัวแต่อย่างนี้ก็ให้เตรียมตัวต่อสู้เหตุอย่างนี้ คือว่ากลัวฝนแล้ง เม่าอฝนยังมีอยู่ก็ให้รีบทำนาเสีย ทำข้าวไร่ ข้าวหางม้า ข้าวสามเดือน ทันสารทไปตามได้ตามมีที่ไม่ได้ทำนา พี่น้องบุตรภรรยา บ่าวไพร่มากก็ให้จัดซื้อข้าวเก็บเตรียมไว้ให้พอกินอย่าตื่นขายเสียนัก ถ้ากลัวความไข้ว่าเกลือกฝีดาษจะชุม ตัวใครและบุตรหลานใครยังไม่ได้ออกฝีดาษ ก็ให้รับพามาปลูกฝีดาษที่โรงทานนอกก็ดี โรงหมดท่าพระก็ดี ศาลาวัดสุทัศน์เทพวรารามก็ดี เสียโดยเร็วอย่าให้ทันฝีดาษมีมาถ้ากลัวว่าไข้ลงรากจะมีมาก็ให้ขัดตัวปฏิบัติเสียให้สะอาด ๆ อย่าทำให้สกปรกโสมมตามเคยตัวนัก หาที่หลับที่นอนที่สะอาดใช้หาเครื่องซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกลิ่นร้ายคือกำยานการบูรเตรียมไว้เมื่อความไข้มีมาสุมรุมเหย้าเรือนผ้านุ่งผ้าห่มเสีย ให้กำจัดพิษอากาศที่ร้ายกระจายไป และหายาที่เคยเชื่อถือเตรียมไว้ใกล้ ๆ เผื่อทุกค่ำคืนจะได้ใช้แก้ไขกันน้ำละลายการบูรกินกันทาตัวกัน ถ้ากลัวไข้จับสั่นก็หาน้ำการบูรไว้ ปวดหัวตัวร้อนเล็กน้อยก็ให้กินน้ำการบูรและเอาน้ำการบูรทาฝ่ามือฝ่าเท้าเสียเล็กน้อยก่อนอย่าปล่อยให้เป็นมากไป หรือใครรู้เห็นยาอะไรว่าดีก็หาไว้หรือแรกจะเป็นเมื่อยขบเท้าเย็น ปวดศีรษะเล็กน้อยก็อย่าเชื่อหมอว่าลมว่าเส้นไป อย่าเพ่อกินร้อนเข้าไป อย่ากินอาหารที่หวานที่มันมากนัก รีบรุถ่ายเสียด้วยดีเกลือ อย่าใช้ยาสลอดให้แสลงไข้ไป พื้นปากพื้นใจของหมอพอใจพูดแต่ว่าลมเอายาร้อนแก้ อนึ่งบ้านเมืองมีไข้เจ็บซึ่งเป็นเหตุให้คนตายอย่างไรจะมากเมื่อไรให้คอยระวังสืบที่ป่าช้าที่มีศพไปเผามาก ๆ อยู่ทุกวันเนือง ๆ จะได้ความจริง...”

ถ้าพิจารณาประกาศฉบับนี้ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นจะเห็นว่าทรงมุ่งขจัดความเชื่อโชคลางและทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์


พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาทและหอชัชวาลเวียงชัย (กระโจมแก้ว หรือ หอส่องกล้อง)
ที่พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี

การสถาปนาเวลามาตรฐาน

แต่เดิมคนไทยวัดเวลาโมงยามโดยตั้งอ่างน้ำลอยกะลามะพร้าวเรียกว่า นาฬิเก เมื่อน้ำเข้ารูกะลานาฬิเกเต็มและจมลงถือเป็น ๑ ชั่วโมงนาฬิกา คนนั่งยามจะตีฆ้องบอกเวลาในตอนกลางวัน เรียกว่า โมง หากเป็นกลางคืนจะตีกลอง เรียกว่า ทุ่ม การวัดเวลาจึงไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์และสากลที่เชื่อถือได้

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังไม่มีชาติใดตกลงใช้เวลามาตรฐาน หอดูดาวที่กรีนิช ประเทศอังกฤษก็ยังไม่มี รัฐสภาอังกฤษออกพระราชบัญญัติเวลามาตรฐานเมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๐ จนถึง ค.ศ. ๑๘๘๔ (พ.ศ. ๒๔๒๗) นักดาราศาสตร์จึงได้ประชุมกำหนดเส้นแวงผ่านเมืองกรีนิชเป็นเส้น ๐ องศา เพื่อเทียบเวลาโลก แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย โดยพระองค์ทรงปฏิบัติการค้นคว้าและทรงสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นเป็นหอนาฬิกาหลวง ทรงสถาปนาเวลามาตรฐาน ดังนี้

  • ๑) ทรงตรวจวัดความสูงของดวงอาทิตย์และทรงคำนวณทางดาราศาสตร์ทุกวัน
  • ๒) ทรงกำหนดเส้นแวงให้ผ่านจุดหนึ่งในพระบรมมหาราชวังเป็นเส้น ๑๐๐ องศาตะวันออก เป็นเส้นแวงหลักของไทยในสมัยนั้น
  • ๓) ทรงสร้างพระที่นั่งภูดลทัศไนย เป็นตึกสูง ๕ ชั้น ณ จุดที่เส้นแวง ๑๐๐ องศาตะวันออก ตรงยอดมีนาฬิกา ๔ ด้าน เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐาน
  • ๔) โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่รักษาเวลามาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งงานทางวิทยาศาสตร์ของไทยชุดแรก คือตำแหน่งพันทิวาทิตย์ ทำการเทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และตำแหน่งพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์

แม้ปัจจุบันเราจะใช้เวลามาตรฐานกรีนิช แต่ประเทศไทยเคยใช้เวลามาตรฐานกรุงเทพปานกลาง (Bangkok Mean Time) โดยให้มีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นเส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๙ ลาปดา ๕๐ ฟิลิปดาตะวันออก เส้นรุ้ง ๑๘ องศา ๔๔ ลิปดา ๒๙ ฟิลิปดาเหนือ มาอย่างถูกต้องก่อนที่จะตกลงใช้เวลามาตรฐานกรีนิชเสียอีก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอนาฬิกาหลวงในพระบรมมหาราชวัง ๒ หอ นอกจากพระที่นั่งภูวดลทัศไนย ยังโปรดเกล้าฯ ให้ พระบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม ทรงออกแบบสร้างหอนาฬิกาตรงมุขเด็จของพระที่นั่งจักรีอีกแห่งหนึ่ง แต่มิได้ระบุชื่อและปีที่สร้าง เชื่อว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ชาวเรือขึ้นล่องแม่น้ำเจ้าพระยามองเห็นและเทียบเวลาเดือนเรือได้สะดวก พระองค์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสถาปนาเวลามาตรฐาน การประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ไว้ว่า

“...จะเป็นเหตุให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยได้ว่าเมืองเราใช้เครื่องมือนับทุ่มโมง เวลาหยาบคายนักไม่สมควรเลย เพราะเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพินิจพิจารณาตรวจตราคำนวณความดำเนินพระอาทิตย์ ให้ฤดูทั้งปวงสอบกับนาฬิกาที่ดีมาหลายปีทรงทราบถ้วนถี่ทุกประการ แจ้งในพระราชหฤทัยแล้ว...”

เสด็จสวรรคต

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ ทรงประชวรด้วยพระโรคไข้จับสั่นอย่างรุนแรงและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา ทรงดำรงสิริราชสมบัติเป็นเวลา ๑๘ ปี มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๘๒ พระองค์ เป็นต้นราชสกุลเนื่องในรัชกาลที่ ๔ สืบเชื้อสายมารวม ๒๗ ราชสกุล

โดยเหตุที่พระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก ในวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และกำหนดให้วันที่ ๑๘ สิงหาคมของทุกปีเป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ”

ถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ ในโอกาสมหามงคลสมัยครบ ๒๐๐ ปี แห่งวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลและปวงชนชาวไทยน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณจัดงานรัฐพิธีน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะ ในการนี้ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพัฒนาสังคมและสื่อสาร ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอเนกอนันต์ ด้วยพระวิริยอุตสาหะอย่างยิ่งไว้แก่แผ่นดิน ทั้งยังทรงวางรากฐานและแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองให้ยั่งยืนสืบไป

    เอกสารอ้างอิง
  • กรมศิลปากร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (๒๕๔๘). ประชุมภาพประวัติศาสตร์แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพ : กรมศิลปากร.
  • กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (๒๕๔๗). พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย. กรุงเทพ : สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
  • ข้อมูลประวัติศาสตร์บางเรื่องในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (๒๕๒๔). ใน อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางพวง ปราบอังวะ (พวง เปรุนาวิน) (๔ ตุลาคม หน้า ๑-๑๒๒). กรุงเทพ : โรงพิมพ์แพร่การช่าง.
  • คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสวันพระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี. (๒๕๔๗). หนังสือที่ระลึกเนื่องในพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพ : สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.