หน้าหลัก > เอกสารและสิ่งพิมพ์ > บทความพิเศษ

วังพญาไท


เมื่อสร้างพระราชวังสวนดุสิตนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนซังฮี้ (บัดนี้เรียก ถนนราชวิถี) จากแม่น้ำเจ้าพรพะยาผ่านสวนดุสิตไปทางท้องทุ่งพญาไท วันใดที่ทรงว่างพระราชกิจ ในตอนเย็นโปรดที่จะทรงขับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยพระองค์เองประพาสไปตามถนนสายต่าง ๆ นอกจากเพื่อทรงพระสำราญแล้ว ยังเป็นการตรวจราชการพร้อมกันไปด้วย เมื่อเสด็จประพาสถนนซังฮี้ไปทางท้องทุ่งพญาไท ก็พอพระราชหฤทัยที่สวนริมคลองสามเสนต่อกับทุ่งพญาไท จึงโปรดให้ซื้อที่สองฝั่งถนนซังฮี้เพื่อทรงทดลองปลูกผัก เลี้ยงไก่พันธุ์ต่างประเทศและทำนาอย่างที่เคยทอดพระเนตรในต่างประเทศเมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งหลัง พ.ศ. ๒๔๕๐

อาณาบริเวณระหว่างถนนซังฮี้ฝั่งเหนือไปจดคลองสามเสนมีเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ โปรดให้แบ่งที่ทำสวนไม้ดอก สวนผัก ขุดคูน้ำ ปลูกบัว เลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ดก และสร้างพระตำหนักหลังย่อม ๆ สำหรับเสด็จไปประทับแรมหลังหนึ่ง พระราชทานนามว่า “ตำหนักพญาไท” และมีตำหนักสำหรับเจ้านายฝ่ายในและข้าราชบริพารพักอีกหลังหนึ่ง

ภายในวังพญาไทมีทางระบายน้ำจากคลองสามเสนมาสู่ทุ่งพญาไทสายหนึ่งเรียกกันว่า คลองพญาไท ด้วยลักษณะนี้การวางแผนผังวังพญาไทจึงใช้คลองพญาไทเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างฝ่ายหน้ากับฝ่ายใน โดยทิศตะวันออกของคลองเป็นที่ตั้งของ ตำหนักพญาไท ถัดจากตำหนักไปก็เป็นตำหนักฝ่ายใน

ส่วนพื้นที่ฝั่งใต้ของถนนซังฮี้ใช้เป็นที่ทำนา ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพระราชพิธีไว้หลังหนึ่งทรงเรียกว่า “โรงนา” บางครั้งใช้เป็นโรงละครด้วย

ต้นปี ๒๔๕๒ การก่อสร้างพระตำหนักสำหรับเสด็จประพาสทอดพระเนตรการปลูกธัญพืชที่ริมคลองพญาไทสำเร็จตามพระราชประสงค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชวน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเสด็จประพาสวังพญาไทเนือง ๆ เป็นที่สำราญพระราชหฤทัย หม่อมเจ้าหญิงสิบพันพารเสนอ โสณกุล (ประสูติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๘ พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ประสูติแต่หม่อมเอม โสณกุล ณ อยุธยา) ทรงเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในพระราชประวัติสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถว่า

“ถ้าเป็นฤดูทำนา สมเด็จฯ มักเสด็จไปในตอนเช้า ทรงดำนากับพระราชวงศ์ฝ่ายในจนถึงกลางวัน ทรงพักสรงน้ำแล้วเสวยพระกระยาหารข้าวห่อที่ โรงนา ในเวลาเย็นเสด็จไปประชุมกันที่ตำหนักญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเขตพระตำหนักที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรถไฟฟ้าขับเองมายังที่นี้ ทรงสนทนากันอยู่จนเวลาค่ำจึงเสด็จกลับ บางทีสมเด็จฯ ก็ประทับแรม ณ พระตำหนักพร้อมด้วยเจ้านายบางองค์ ซึ่งเป็นที่ชอบพระราชอัธยาศัย คือ พรพะองค์เข้าบุษบันบัวผัน พระองค์เจ้าแขไขดวง พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ (ทั้งสามพระองค์นี้เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๔) ครั้งนั้นพญาไทยังเป็นที่เงียบสงบอยู่นอกเขตสัญจรไปมา อากาศก็ดีเป็นที่สบายมาก”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีงานคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักพญาไท ในวันที่ ๑๔-๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระราชทานพระราชดำริในการจัดงานครั้งนี้เองทุกอย่าง นับแต่การจัดสถานที่ การหาพิณพาทย์ เลี้ยงพระ เลี้ยงบัณฑิต เลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการ แม้แต่อาหารสำหรับจะใช้เลี้ยง ตลอดจนละครที่โปรดให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้น ๔ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงจัดมาเล่น ณ โรงพระราชพิธีถึง ๒ คืน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญในการเสด็จไปทอดพระเนตรการทำสวนครัว ปลูกผักและเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ดกที่วังพญาไทมาก บางวันก็โปรดที่จะเสวยพระกระยาหารค่ำที่วังพญาไทนั่นเอง ดังสำเนาพระราชหัตถเลขาถึงพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๙ (พ.ศ. ๒๔๕๓) ว่า

  • พระยาบุรุษ
  • นอนฝันไปว่ากินมะเขือต้มเห็นจะเปนด้วยหิวเข้า เลยนึกอยากไปจริง ๆ ได้สั่งให้อาภา (อาภา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้น ๕ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ทำที่พญาไท สำหรับกลางคืนวันนี้ คิดอ่านจัดการหุงเข้ากับตาอ้น (ตาอ้น คือ พระยานิพัทธ์ราชกิจ (อ้น นรพัลลภ)) สักทีให้เจ้าหาของหวาน ไม่ต้องมีกับเข้าอื่นก็ได้ กินกันจน ๆ อย่างในเรือเมล์เสียที ให้เตรียมให้ทันวันนี้
  • สยามมินทร์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีงานพระราชพิธีแรกนาขวัญ ณ ทุ่งพญาไท ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๓ มีพระยาเวียงไนยนฤบาล (เจ๊ก เกตุทัต) เป็นพระยาแรกนา หลังจากนั้นต่อมาอีกไม่กี่เดือน มหาราชผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของราษฎรพระองค์นี้ก็เสด็จสวรรคต

เมื่อถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนีพระพันปีหลวง เสด็จแปรพระราชฐานจากพระตำหนักสวนสี่ฤดู พระราชวังดุสิต คืนสู่พระบรมมหาราชวัง กลับไปประทับที่พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์อีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องด้วยทรงเสียพระราชหฤทัยในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก จึงทรงพระประชวรเรื้อรัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทูลเชิญเสด็จมาประทับที่วังพญาไทอีกครั้งหนึ่งเป็นการรักษาพระองค์ชั่วคราว

ในการเสด็จมาประทับที่วังพญาไทของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีพระพันปีหลวงครั้งนี้ มีผู้ตามเสด็จมากมายทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดข้าราชบริพารประจำตำแหน่งต่าง ๆ ในราชสำนักเต็มตามพระราชอิสริยยศทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในอย่างครบถ้วน มีการสร้างพระตำหนัก สร้างท้องพระโรง เรือนกรมวัง เรือนมหาดเล็ก เรือนแพทย์หลวง เรือนชาวที่ เรือนข้าหลวง กองทหารราชองครักษ์ โรงรถหลวง ฯลฯ เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเจาะประตูทางเข้าออก ทางด้านฝ่ายในเพื่อเป็นทางเสด็จของเจ้านายฝ่ายในโดยเฉพาะ และมีศาลากรมโขลนเฝ้าประตูอยู่ริมถนนซังฮี้ด้านตะวันตกเฉียงใต้

สมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงประทับที่วังพญาไทจนตลอดพระชนมายุ ได้เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๔๖๓ เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาประทับที่วังพญาไทชั่วคราว เพื่อมิให้เกิดความวังเวงเงียบเหงา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักน้อยขึ้นองค์หนึ่งริมคลองพญาไทตอนกลาง พระราชทานนามว่า พระตำหนักเมขลารูจี ซึ่ง พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเล่าไว้ในเรื่อง เกิดวังปารุสก์ ว่า

“ทูลหม่อมลุงประทับอยู่บนพระตำหนักอันเล็กนิดเดียวจนดูเหมือนเรือนตุ๊กตา แต่มีพลับพลาริมคลองอันเป็นที่ทรงพระอักษรกับมีกระโจมอันเป็นที่เสวย”

ส่วนพระตำหนักที่สมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงเคยประทับนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อไปปลูกไว้ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน) ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินแก่โรงเรียนเป็นค่าพระตำหนักและโปรดให้รื้อไปปลูกที่วัดราชาธิวาสใช้เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างหมู่พระราชมณเฑียรสถานสำหรับประทับถาวรขึ้นใหม่หมู่หนึ่ง ด้านหลังท้องพระโรงที่คงเหลือเพียงหลังเดียว แบ่งพื้นที่ด้านริมถนนราชวิถีทั้งหมดเป็นฝ่ายหน้า ส่วนท้องพระโรงเดิมและหมู่พระที่นั่งใหม่เป็นเขตฝ่ายใน องค์พระที่นั่งมีลักษณะเรียงกันจากตะวันออกไปตะวันตก คือ

พระที่นั่งไวกูณฐ์เทพยสถาน ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออก เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูน เดิมมี ๒ ชั้น แต่ได้มีการต่อเติมชั้น ๓ ขึ้นในภายหลังเป็นห้องพระบรรทมและห้องสรง เพดานห้องพระบรรทมมีภาพเขียนสีปูนเปียกเป็นรูปกามเทพถือพิณ

พระที่นั่งพิมานจักรี เป็นพระที่นั่งองค์ประธาน มีหอคอยขนาดใหญ่อยู่หน้าพระที่นั่ง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสูง ๒ ชั้น ยอดหอคอยสำหรับเชิญธงมหาราช ห้องใต้หอคอยเป็นห้องทรงพระอักษร มีตู้หนังสือแบบติดผนังอยู่โดยรอบ ยังมีสภาพดี ห้องโถงกลางเป็นห้องเสด็จออกให้เฝ้าส่วนพระองค์ หรือเป็นห้องเสวยแบบง่าย ๆ ภายในตกแต่งแบบยุโรป พื้นปูปาเกต์ มีเตาผิงอยู่ที่ผนังด้านใน เหนือเตาผิงมีพระบรมรูปเขียนสีน้ำมันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานภายใต้มหาวชิรมงกุฎ ห้องด้านทิศตะวันออกเป็นห้องพระบรรทม ภายในตกแต่งลายเพดานงดงามด้วยภาพเขียนสีปูนเปียก เป็นภาพคัมภีร์พระพุทธศาสนาแบบจารบนใบลานติดกับห้องพระบรรทมเป็นห้องสรง มีอ่างอาบน้ำ อ่างล้างมือ ส่วนด้านทิศตะวันตกเป็นห้องที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา บนเพดานเขียนภาพลายดอกไม้

ชั้นล่างเป็นห้องขนาดเดียวกับชั้นบน เป็นที่อยู่ของข้าราชสำนักฝ่ายหน้า มีบันไดติดต่อระหว่างชั้นล่างกับชั้นบน นับเป็นเขตติดต่อระหว่างฝ่ายหน้ากับฝ่ายในในรูปแบบใหม่แทนการใช้กำแพงและประตูเป็นแนวขวางกั้น ต่อมาภายหลังได้มีการต่อส่วนหน้าของพระที่นั่งพิมานจักรีเป็นที่จอดรถพระที่นั่งและที่พักของผู้มาเฝ้าแทน

พระที่นั่งศรีสุทธินิวาศ อยู่ด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูนสูง ๒ ชั้น มีหอคอยขนาดเล็กอยู่ตรงมุมพระที่นั่ง มีทางเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานจักรีระดับชั้นที่ ๒ พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่รับรองเจ้านายฝ่ายใน แต่เดิมพระราชทานนามว่า พระที่นั่งลักษมีพิลาศ ตามพระนามของพระนางเธอลักษมีลาวัณ ลักษณะเด่นของพระที่นั่งองค์นี้คือ บนฝาผนังตอนใกล้เพดานและเพดานมีภาพเขียนสีปูนเปียกเป็นลายดอกไม้

พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ เป็นท้องพระโรงเดิมที่ยังเหลืออยู่ ด้านหน้ามีพระนามาภิไธยย่อ สผ (เสาวภาผ่องศรี) ประดิษฐานอยู่ตอนบนใกล้หลังคา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามให้คล้องจองกับหมู่พระที่นั่งองค์อื่น เป็นท้องพระโรงที่เสด็จออกให้เฝ้าหรือทรงละคร

พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งไวกูณฐ์เทพยสถาน เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูนสูง ๒ ชั้น ไม่มีการตกแต่งฝาและฝ้าเพดานเหมือนกับพระที่นั่งองค์อื่น ๆ แต่ประดับผนังด้วยกระเบื้องเคลือบมีขาวแทน สร้างสะพานเชื่อมกับพระที่นั่งไวกูณฐ์เทพยสถานในระดับชั้นที่ ๒ ภายในพระที่นั่งชั้นบนคล้ายจะเป็นห้องชุดเหมือนกันทั้งซ้ายขวา มีบันไดกลาง ชั้นล่างเป็นห้องโถงกว้าง ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี เขียนถึง วังพญาไท ไว้ในหนังสือ มรดกสถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒ ความว่า

“นอกจากพระที่นั่งองค์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีตำหนักฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ได้แก่ ตำหนักเมขลารูจี ตำหนักอุรวดีโสภา ตำหนักเมนะบังอร เป็นตำหนักฝ่ายใน ตำหนักสุครีพทรงยศ ตำหนักองคตฤทธิรุต ตำหนักวายุบุตรใจหาญ เป็นตำหนักฝ่ายหน้า ตำหนักที่ยังเหลือในปัจจุบัน ได้แก่ ตำหนักเมขลารูจี ซึ่งตั้งอยู่ริมสระน้ำข้างพระที่นั่งศรีสุทธินิวาศ เป็นเรือนไม้สักขนาดเล็ก ความสูง ๒ ชั้น ภายในมีสระสรง เป็นที่สรงน้ำของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) แล้ว”

ด้านหลังพระที่นั่งพิมานจักรี จัดเป็นสวนเรขาคณิต เรียกว่า สวนโรมัน พร้อมกันนั้นได้ขุดสระน้อยใหญ่เชื่อมต่อคลองพญาไท จัดเป็นภูมิทัศน์อันร่มรื่นทางด้านหลังของพระที่นั่งจนจรดคลองสามเสน พร้อมกับสร้าง ศาลท้าวหิรัญพนาสูร (ฮู) เป็นเทพารักษ์ประจำวัง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ วังพญาไทแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองดุสิตธานีจากพระราชวังสวนดุสิตมาสร้างใหม่บริเวณสวนโรมัน หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เล่าถึงลักษณะของ ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ว่า

“ดุสิตธานีเมืองประชาธิปไตยนี้มีทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ประสาทพระราชวัง วัดวาอาราม สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร โรงภาพยนตร์ สโมสร บริษัท สำนักงาน แต่อาคารสถานที่เหล่านี้ย่อส่วนลงให้เล็กเหลือประมาณ ๑ ใน ๒๐ ของของจริง ที่ขาดไปคือมหาวิทยาลัย ปั๊มน้ำมัน และสถานโบว์ลิ่ง ส่วนเวลานั้นย่อให้เหลือ ๑ ใน ๑๒ หนึ่งปีดุสิตเท่ากับหนึ่งเดือนธรรมดา ภาษีอากรซึ่งควรจะเสียกันปีละครั้ง ก็เสียกันทุกเดือน รายได้ต่าง ๆ นั้นก็นำมาใช้จ่ายสำหรับธานีบ้าง ส่งสมทบทุนซื้อเรือรบ “พระร่วง” บ้าง เมื่อซื้อเรือรบพระร่วงสำเร็จแล้วก็ส่งสมทบทุนซื้อปืนให้เสือป่า”

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระรางวังพญาไทไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับอีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้น ๕ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน จัดพระราชวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับชาวต่างประเทศ ต่อมาอีก ๕ ปี ก็ต้องเลิกกิจการเพราะไม่ได้รับความนิยมพอ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังพญาไทเป็น สถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลได้ย้ายสถานีวิทยุกลับไปอยู่ที่ศาลาแดงตามเดิม ทางราชการทหารได้ขอวังพญาไทมาเป็นที่ตั้งของ กองเสนารักษ์จังหวัดทหารบกกรุงเทพฯ และมาเป็น โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในปัจจุบัน.


พระตำหนักเมขลารูจี เป็นพระตำหนักไม้ ตั้งอยู่ริมสระ เป็นพระตำหนักสำหรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระอักษร


พระที่นั่งไวกูณฐ์เทพยสถาน (ด้านขวา) เดิมเป็นพระที่นั่งสองชั้น ต่อเติมชั้นที่สามขึ้นภายหลัง
เป็นห้องพระบรรทมและห้องสรง ด้านซ้ายคือพระที่นั่งพิมานจักรี


ภายในพระที่นั่งไวกูณฐ์เทพยสถาน บนเพดานมีภาพเขียนสีเป็นรูปกามเทพ ๔ องค์ ถือพิณลอยอยู่กลางอากาศ


พระที่นั่งพิมานจักรี ลักษณะเด่นคือหอคอยขนาดใหญ่ หลังคาทรงสูง เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของงานสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ๖


ด้านข้างหอคอยเป็นอาคาร ๒ ชั้น ทางเดินมีหลังคาคลุมจากพระที่นั่งไปด้านหลังของมุขจอดรถพระที่นั่ง


ประตูท้องพระโรง ด้านบนเหนือประตูเป็นไม้แกะสลัก ขอบเพดานและเพดานเขียนสีเป็นลวดลายดอกไม้


บริเวณทางเดินหน้าห้องท้องพระโรงมีการเขียนสีที่เพดานโดยตลอด


เพดานห้องภายในพระที่นั่งศรีสุทธินิวาศ มีภาพเขียนสีปูนเปียกเป็นภาพชายหญิงแบบเทคนิคตะวันตก


ภายในท้องพระโรง พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก


สวนโรมัน อยู่ด้านหลังพระที่นั่งพิมานจักรี เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก ด้านหน้ามีสระน้ำปลูกบัว

    เรียบเรียงจาก
  • คณิตา เลขะกุล. (๒๕๔๐, มกราคม-มีนาคม). วังพญาไท. วารสารไทย. ๑๗(๖๕), หน้า ๒๗-๔๔.