ภาควิชาพยาธิชีววิทยา กับอาจารย์สตางค์และอาจารย์หมอณัฐ

... ในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดที่มองเห็นว่าคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์จะมีวิวัฒนาการมาในรูปที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ก็ส่ง ดร.ดินนิ่ง เข้ามาเป็นผู้แทนเพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนามหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ดร.ดินนิ่ง เคยเล่าให้ผมฟังนานมาแล้วว่าเมื่อเข้ามาเมืองไทยใหม่ ๆ ยังไม่รู้ว่าจะช่วยมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ในจุดไหนดี และในที่สุดเลือกมาที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฉะนั้น โครงการของอาจารย์คงคิดไว้ก่อนที่จะรู้ว่ามูลนิธิจะเข้ามาช่วย หากท่านอาจารย์ไม่วางแผนเตรียมอาจารย์ล่วงหน้านาน ๆ โครงการใหม่หลายโครงการของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งส่วนมากเริ่มดำเนินอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เช่น โครงการศึกษาชั้นปริญญาโทและเอกทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานของบัณฑิตวิทยาลัย และโครงการคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็คงจะดำเนินไปด้วยความล่าช้า และคงจะประสบความยากลำบากอีกหลายประการเนื่องจากขาดอาจารย์พรีคลินิกเป็นปัญหาสำคัญ
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อาจารย์ก็ได้นำคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้เดินก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่ง โดยได้ทำความตกลงกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ที่จะขยายการศึกษาต่อไปอีก ๒ ปี โดยเพิ่มวิชาทางพรีคลินิกที่ปกติสอนกันในหลักสูตรปีที่ ๑ และ ๒ ของโรงเรียนแพทย์มาสอนในปีที่ ๓ และ ๔ ที่คณะฯ สำหรับนักศึกษากลุ่มที่ต้องการจะเรียนในคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์จนจบปีที่ ๕ เพื่อรับปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต จุดมุ่งหมายที่มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ให้ความช่วยเหลือก็เพื่อให้ภาควิชาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานต่าง ๆ ที่จะตั้งขึ้นใหม่ผลิตอาจารย์ปริญญาโทและเอก เพื่อไปเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่จะตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาค และหวังว่าจากจำนวนนักศึกษาประมาณปีละ ๖๐ คน ที่สำเร็จปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นี้คงจะมีประมาณ ๕-๑๐ คน ที่จะเรียนต่อในสาขาใดสาขาหนึ่งทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานให้ถึงขั้นปริญญาเอก การสร้างภาควิชาใหม่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานให้มีคุณภาพถึงขั้นรับนักศึกษาของบัณฑิตวิทยาลัยได้นั้น จะทำโดยมูลนิธิฯ จัดหาอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และศาสตราจารย์ชาวต่างประเทศพร้อมทั้งผู้ช่วยเข้ามาประจำภาควิชาละหลาย ๆ คน เพื่อให้ดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้อาจารย์คนไทยที่ได้รับทุนไปทำปริญญาเอกในต่างประเทศเรียนเสร็จและกลับมาปฏิบัติงานเสียก่อน
โครงการผลิตอาจารย์ปริญญาโทและเอกขึ้นในประเทศไทยดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นก้าวสำคัญของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาการศึกษาขั้นสูงของประเทศไทยอีกด้วย ความสำคัญของการปฏิรูปดังกล่าวคงจะเป็นที่ประจักษ์ใน ๕-๑๐ ปีข้างหน้า ข้อดีหรือข้อเสียของการสร้างโครงการบัณฑิตศึกษาระดับปริญญาโทและเอกในประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นประเทศไทยในขณะนี้จะเป็นอย่างไน เป็นเรื่องที่วิจารณ์กันได้อย่างกว้างขวางเกินขอบเขตที่จะนำมาพูดถึงในที่นี้ แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในประเทศที่เกิดขึ้นหลังจากที่โครงการนี้ได้ดำเนินไปคงชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลได้ทำถูกแล้วที่ตัดสินใจสนับสนุนให้โครงการนี้เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงในสถานะการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจมีผลทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์จำเป็นต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นและต้องหันหน้ามาร่วมมือกันในด้านการเมือง การเศรษฐกิจ และการรักษาความปลอดภัย ความร่วมมือดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างแน่นแฟ้นไม่ได้ หากบุคคลชั้นผู้นำในทุกระดับในด้านต่าง ๆ ของประเทศเหล่านี้ไม่รู้จักและไม่เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันอย่างลึกซึ้ง โครงการศึกษาขั้นปริญญาโทและเอกที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีคุณภาพสูงและอยู่บนฐานอันแท้จริงของภูมิภาคเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ในแง่ประชากร วัฒนธรรม และภาวะเศรษฐกิจ จะเป็นสื่อสัมพันธ์ที่สำคัญจุดหนึ่งที่จะสร้างความเข้าใจอันดีให้แก่นักศึกษาชาติต่าง ๆ ที่เข้ามาทำปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะไปเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในประเทศเหล่านั้นในอนาคต

(จากซ้าย) ศ. นพ.ณัฐ ภมรประวัติ ศ. นพ.เฉลิม พรมมาส และ ศ. ดร.สตางค์ มงคลสุข
ที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2511
(ที่มา : ปูชนียาจารย์ 120 ปี โรงเรียนแพทย์ศิริราช พ.ศ. 2433-2553)
งานขยายโครงการศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ของอาจารย์ ดร.สตางค์ มีผลทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลต้องพิจารณาจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ขึ้นใหม่ในเขตอำเภอพญาไท เพื่อรับผู้ที่ได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์การแพทย์จากคณะวิทยาศาสตร์ไปเรียนวิชาคลินิกต่ออีก ๒ ปี เพื่อรับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต อาจกล่าวได้ว่าเป็นงานที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อทางเดินชีวิตของอาจารย์แพทย์ในวัยหนุ่มหรือวัยกลางคนหลายคนของโรงเรียนแพทย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้งคณะอนุกรรมการจัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์ แห่งใหม่ โดยมี นายแพทย์อารี วัลยเสวี เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมการชุดนี้ และเป็นผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการดำเนินงานจัดจั้งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตั้งแต่แรก ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการด้วยผู้หนึ่งและได้รับมอบหมายให้เตรียมงานด้านพยาธิวิทยาของคณะแพทยศาสตร์ ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ เนื่องจากวิชาพยาธิวิทยาเป็นทั้งวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิชาคลินิกที่จะต้องสอนให้แก่นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ปีที่ ๔ ตามหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิตใหม่ ผมจึงมีโอกาสร่วมงานใกล้ชิดกับอาจารย์ ดร.สตางค์ เป็นครั้งแรกหลังจากที่เคยเป็นลูกศิษย์เมื่อสิบแปดปีก่อน
ความเข้าใจของผมในครั้งแรกคิดว่าจะทำการสอนวิชาพยาธิวิทยาในคณะวิทยาศาสตร์โดยใช้คณาจารย์ของภาควิชาพยาธิวิทยา ของคณะแพทยศาสตร์แห่งใหม่ไปสอนทั้งชุด ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญในการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ใหม่จากที่จะปรับปรุงและขยายโรงพยาบาลหญิงและเด็กให้เป็นโรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ใหม่แห่งนี้ และที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์จะขยายอาคารและสถานที่ในที่ตั้งคณะเดิมที่ถนนศรีอยุธยา มาเป็นการสร้างโรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ขึ้นใหม่เนื่องจากจุผลที่ว่าการปรับปรุงและขยายโรงพยาบาลหญิงและเด็กเพื่อการสอนและการวิจัยนั้นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนสูงใกล้เคียงกับที่จะสร้างโรงพยาบาลขนาด ๖๐๐ เตียงขึ้นมาใหม่ เมื่อมหาวิทยาลัยนำเรื่องเสนอรัฐบาล ก็ได้รับการอนุมัติในหลักการและให้ใช้ที่ว่างหน้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นสถานที่ก่อสร้างคณะแพทยศาสตร์แห่งใหม่ และให้ขยายคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกมาในสถานที่ใหม่นี้ด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่จะทำให้วางแผนงานของคณะทั้งสองได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
อาจารย์ ดร.สตางค์ ได้ชี้แจงให้ผมทราบนโยบายการศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ในหายวาระว่าท่านต้องการให้ผมวางหลักสูตรวิชาพยาธิวิทยาให้หนักไปทาง Life Sciences ให้มากที่สุดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรับความช่วยเหลือจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ซึ่งต้องการให้ดำเนินการสอนวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานในแนวทางของ Molecular Biology หรือในแบบของ Experimental Sciences ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานอย่างดีให้กับผู้ที่จะไปทำปริญญาโทหรือปริญญาเอกต่อไปในวิชาเหล่านี้
ผมได้เรียนให้อาจารย์ทราบว่ารูปงานทางพยาธิวิทยาที่ผมได้เตรียมไว้แต่เดิม มุ่งหน้าที่จะให้ภาควิชามีความเป็นเลิศทางวิชาการด้าน Human Pathology ทั้งด้านการสอน การบริการ และการวิจัย บรรดาอาจารย์พยาธิวิทยาเท่าที่เตรียมไว้จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งส่วนมากเป็นเพื่อนหรือศิษย์เก่าของผม โดยเฉพาะที่เคยเป็นแพทย์ประจำบ้านพยาธิวิทยาในขณะที่ผมรับราชการเป็นอาจารย์พยาธิวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ก็ได้รับการสนับสนุนให้ไปศึกษาอบรมต่อเป็นแพทย์ทางพยาธิวิทยาในสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ผู้ที่เคยศึกษาทาง Experimental Pathology มาก็มีแต่ผมผู้เดียว อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ก็เตรียมเพื่องานสอนหรืองานบริการของโรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งไม่เหมาะแก่การสอนหรือการวิจัยด้าน Experimental Pathology ทั้งในขณะนั้นเป็นระยะแรกของการก่อสร้างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี แม้ผมจะได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากผู้ร่วมงานทุกท่าน โดยเฉพาะ นายแพทย์อารี วัลยะเสวี ที่จะเห็นภาควิชาพยาธิวิทยาของรามาธิบดีได้มีสถานที่และเครื่องอุปกรณ์ครบถ้วนเท่าที่ภาควิชาพยาธิวิทยาที่ทันสมัยจะพึงมี แต่ภาควิชาอื่นและหน่วยงานต่าง ๆ ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็กำลังต้องการงบประมาณเพื่อการเริ่มต้นจากการที่ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้นเช่นกัน งบประมาณของคณะที่ได้รับก็จำกัดเกินกว่าที่เราจะเรียกร้องเอามาใช้ขยายงานทาง Experimental Pathology ออกไปได้อย่างน้อยในระยะแรกของการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้
ระหว่างที่ผมได้มีโอกาสปรึกษาหารือและเรียนชี้แจงถึงปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้กับท่านอาจารย์อย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากที่ผมเคยเคารพท่านในฐานะที่ท่านเป็นครูแล้ว ผมค่อย ๆ เกิดความนิยมนับถือท่านในฐานะนักวิชาการ นักบริหารชั้นหัวหน้า และเพื่อนร่วมงานชั้นอาวุโสขึ้นเป็นอันมาก แม้ท่านจะเป็นนักเคมีโดยพื้นฐานการศึกษา แต่ท่านก็พยาบามรับฟัง ไต่ถามข้อมูลในวิชาที่ท่านยังไม่รู้จักอย่างแท้จริงเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหาต่าง ๆ เนื่องจากท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์พื้นฐานผู้หนึ่ง ท่านจึงตระหนักถึงปัญหาที่อาจารย์พยาธิวิทยาต้องประสบในระบบงานและสังคมของเมืองไทย ซึ่งแม้ผู้ที่เป็นแพทย์เองบางคนก็ยังไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับรู้
เมื่อท่านเข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าของภาควิชาพยาธิวิทยาใหม่นี้แล้ว ด้วยวิสัยของนักบริหารที่ดี เมื่อคิดว่านโยบายที่วางไว้ถูกต้องตามหลักวิชาการจะมีปัญหาขัดข้องอย่างไรก็ตามก็ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ท่านได้แนะให้ผมพูดกับ ดร.ดินนิ่ง ซึ่งเป็นผู้แทนของมูนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ประจำคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อหาทางช่วยเหลือ ซึ่ง ดร.ดินนิ่ง ก็เต็มใจที่จะช่วยแต่ยังมีปัญหาที่ว่าทางมูนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ต้องการจำกัดขอบเขตของการช่วยเหลือโดยเฉพาะด้านอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ไว้เพียงที่คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งมูลนิธิเห็นว่าการช่วยภาควิชาใหม่ทั้ง ๕ ภาควิชาในขณะนั้นเป็นภาระหนักทางการเงินสำหรับเขาอย่างมากอยู่แล้ว มูลนิธิต้องจำกัดความช่วยเหลือคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในระยะแรกเพียงในเรื่องการเตรียมอาจารย์พยาบาล โครงการเวชศาสตร์ชุมชน การหาปรัชญาการสอนและการวางหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต การบริหารโรงพยาบาล เท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนและแม้ผู้ใหญ่ในวงการรัฐบาลและการศึกษาก็มีความเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่า มูลนิธิได้ช่วยคณะแพทยศาสตร์ใหม่แห่งนี้ในด้านการก่อสร้างหรืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ อุปกรณ์โรงพยาบาล ความจริงคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์อาคาร ครุภัณฑ์โรงพยาบาล และครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์จากงบประมาณแผ่นดิน

(ที่มาภาพประกอบ https://pathobiology.sc.mahidol.ac.th/history)
หลังจากได้เจรจากับอาจารย์และ ดร.ดินนิ่ง หลายครั้ง อาจารย์ได้กรุณาวางนโยบายจัดตั้งภาควิชา Experimental Pathology ขึ้นในคณะวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ภาควิชานี้ได้รับความช่วยเหลือด้านครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ และให้ผมคัดเลือกนักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ที่สำเร็จใหม่เพื่อรับทุนไปศึกษาต่อถึงขั้นทำปริญญาเอกเพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ในภาควิชาที่ตั้งใหม่นี้ นโยบายสำคัญที่ภาควิชาใหม่นี้รับมอบจากคณะวิทยาศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัย คือการดำเนินโครงการบัณฑิตศึกษาทาง Experimental Pathology ให้ผลิตผู้สำเร็จปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตในระยะแรก และให้ผลิตถึงขั้นดุษฎีบัณฑิตในระยะต่อไป เมื่ออาจารย์ที่ส่งไปเรียนกลับมาปฏิบัติงานครบถ้วน ผมได้เสนอว่างานวิชาการของภาควิชานี้จะหนักไปทาง Environmental Pathology คือการศึกษาความผิดปกติของ Biological System ที่เกิดเนื่องจาก Environmental Factors ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นไปตามธรรมชาติ (Natural Environmental Factors) หรือที่เป็นผลจากอารยธรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น และขอให้ชื่อภาควิชานี้เป็นภาษาอังกฤษว่า “Pathobiology” ตรงกับภาษาไทยว่า “พยาธิชีววิทยา” โครงการจัดตั้งภาควิชาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากท่านอาจารย์ และ อาจารย์ ดร.กำจร มนุญปิจุ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ และเป็นผู้ช่วยดำเนินเรื่องให้ จากนายแพทย์อารี วัลยะเสวี ซึ่งกำลังเป็นผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และจาก ศาสตราจารย์ นพ.สวัสดิ์ สกุลไทย์ ในฐานะคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการบัณฑิตศึกษา จนได้เสนอผ่านมหาวิทยาลัยมหิดลและสภาการศึกษาแห่งชาติ และได้รับอนุมัติให้ตั้งเป็นภาควิชาในคณะวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ อาจารย์พยาธิชีววิทยาที่ได้รับเลือกส่งไปเรียนปริญญาเอกด้วยทุนมูลนิธิฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ คือ นางสาววลี หฤษฎางกูร และ นายธงธวัช อนุคฤหานนท์ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้ส่ง นายสมพงษ์ สหพงษ์ ไปอีกผู้หนึ่ง ทั้งสามคนนี้เป็นผู้สำเร็จแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีประวัติการศึกษาดีเยี่ยมอยู่ในเกณฑ์ที่จะทำปริญญาเอกได้ทั้งสิ้น ภาควิชาพยาธิชีววิทยาได้ผลิตผู้สำเร็จปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตเป็นครั้งแรกจำนวน ๔ คน เมื่อปลายปีการศึกษา พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๔ และขณะนี้มีนักศึกษาปริญญาโทจำนวน ๘ คน
เมื่อโครงการใหม่ของคณะวิทยาศาสตร์ดำเนินไปแล้ว กิจการประจำของภาควิชาพยาธิชีววิทยายังมีน้อยเพราะเป็นภาควิชาที่เพิ่งตั้งใหม่ยังมีอาจารย์จำกัด ได้ขอโอน แพทย์หญิงสมเนตร บุญพรรคนาวิก จากคณะอายุรศาสตร์เขตร้อน มาเป็นอาจารย์ประจำคนแรกเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๓ อาจารย์อื่นยังคงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ งานสอนที่เป็นหลักก็คือสอนนักศึกษาวิทยาศาสตร์ปีที่ ๔ โดยใช้คณาจารย์ของภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และอาจารย์พิเศษเป็นกำลังสำคัญ นอกจากนั้นก็มีสอนนักศึกษาปริญญาโทอีกประมาณ ๑๐ คน ...
![]()
- ที่มา
- ณัฐ ภมรประวัติ. (๒๕๑๔). ระลึกถึง อาจารย์ ดร.สตางค์ มงคลสุข. ใน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. (หน้า ๕๗-๖๗). พระนคร : กรุงสยามการพิมพ์.
